ธุรกิจเครือข่ายคืออะไร?

     ความรู้สึกของหลายคนเวลานี้ จะรู้สึกว่าปีต่อปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต้องอดทนต่อแรงกดดันของภาวะเศรษฐกิจ ปรับตัวได้บ้าง ไม่ได้บ้าง  ดิ้นรนหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่ม บางคนมาขับแท๊กซี่ บางคนเปิดท้ายขายของ บางคนขายของตลาดนัด บางคนก็มาทำอาชีพขายตรง

     ทันทีที่ได้ก้าวสู่ห้องประชุม ตามคำชักชวนของคนที่ทำธุรกิจอยู่ก่อน ที่เรียกกันว่า “อัพไลน์” ก็จะได้พบกับความตื่นตาตื่นใจ ทุกคนแต่งตัวดี พูดเก่งจนแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าอดีตเขาเคยเป็นคนรับจ้างแบกหาม (จับกัง) บางคนเคยขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง บางคนเคยเป็นกระเป๋ารถเมล์มาก่อน  มีคำพูดหนึ่งที่คุณอาจจะได้ยินบ่อยจากเวที คือ ความร่ำรวย และความสำเร็จที่เขาได้มาทั้งหมดนั้นได้มาจากการที่เขาร่วมทำธุรกิจกับบริษัทธุรกิจเครือข่าย  ซึ่งวิธีการคือชวนให้คนมาซื้อและใช้สินค้า เมื่อใช้ดีแล้วเขาก็จะไปบอกต่อ

     ฟังดูง่ายดี แต่เหมือนว่าจะงง…มันเป็นไปได้ไง?  แค่ใช้ดีแล้วบอกต่อ จะทำให้ชีวิตคนคนหนึ่งเปลี่ยนจากคนหาเช้ากินค่ำคนหนึ่ง กลับกลายเป็นคนร่ำรวยในเวลา ปีสองปี…… , แน่นอนที่จะเกิดคำถามขึ้นในใจ “เขาทำอะไรกันแน่” , “เขาทำได้อย่างที่พูดเหรอ” ,……..ฯลฯ

     จะมีกี่คนที่กล้าพูดว่า  ฉันงง…., ฉันไม่เข้าใจ ….,  ฉันไม่รู้เรื่อง ……,  ฉันไม่แน่ใจว่างานนี้ทำแล้วจะรวยภายในเวลาอันรวดเร็ว?  เอาล่ะครับ….เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและความสงสัยเหมือนดังตัวอย่างที่ยกมาโดยเฉพาะกับคนใหม่ๆที่ต้องการมีรายได้เพิ่ม มาเจาะลึกกันเลยดีกว่า

MLM เป็นคำย่อมาจากคำว่า Multi-Level Marketing แปลตรงๆ คือ การตลาดขายตรงแบบหลายชั้น เดิมทีงานขายในบ้านเรามี 2 แบบคือ

1)    ผู้ขายอยู่กับที่ แต่ผู้ซื้อซึ่งมีความต้องการใช้สินค้าเดินมาหาผู้ขายเอง เช่น ร้านค้าทั่วไปที่เห็น ไม่ว่าจะริมถนน หรือห้างสรรพสินค้า ลักษณะการขายแบบนี้ไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะผู้ซื้อตั้งใจที่จะมาซื้อยู่แล้ว เป็นรูปแบบที่มีมาแต่ดั้งเดิม ผู้ขายทำหน้าที่ต้อนรับ , ทักทาย , นำเสนอ และตอบคำถาม โอกาสในการขายก็จะเกิดขึ้น แต่โอกาสนี้จะขึ้นอยู่กับจำนวนของลูกค้าที่เดินเข้ามา โดยที่ผู้ขายไม่มีโอกาสที่จะหา หรือเลือกลูกค้าได้เลย…

2)    ผู้ขายไปหาผู้ซื้อ  เป็นวิธีการที่พัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง  แทนที่จะนั่งรอลูกค้าอย่างเดียว ก็เลยตั้งใจออกไปขายโดยตรง หรือเรียกสั้นๆ ว่า ขายตรง (Direct Sale)ก็ได้ ซึ่งผู้ขายต้องเตรียมความพร้อมก่อนพบลูกค้าอย่างดี

     งานขายตรง เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในประเทศไทยครับ บวกกับผู้ประกอบการมั่นใจว่าสินค้าขายไม่ยากอยู่แล้ว จึงเปลี่ยนการจ่ายค่าตอบแทนการขาย จากเงินเดือนประจำเป็นค่านายหน้าสูงๆดีกว่า โดยเอาเงินเดือนที่ต้องจ่ายไปรวมเป็นค่านายหน้า ซึ่งเป็นวิธีการที่ Win Win คือ ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย คือเจ้าของก็ลดความเสี่ยง คือ จ่ายเท่าที่ขายได้ ขายมากจ่ายมาก , ขายน้อยก็จ่ายน้อย…, ส่วนผู้ขายก็ไม่ถูกจำกัดจำนวนค่าตอบแทนที่จะได้รับ มีอิสรภาพในการเพิ่มรายได้ให้กับตัวเองอย่างไม่มีขีดจำกัด   ขายได้มากเท่าไหร่ก็ รับไปเท่านั้น  ไม่ใช่ขาย 100 ชิ้นก็ได้เท่ากับขาย 10ชิ้นอยู่ดี…. แบบนี้มีกำลังใจกว่ากันเยอะเลย!

     การเป็นพนักงานขายที่ไร้เงินเดือนแบบนี้ เราไม่มีเจ้านาย “แต่เราเป็นเจ้านายของตัวเราเอง” เราจึงมีอิสรภาพในการทำงานเต็มที่ และอิสรภาพนี่เองที่จะเป็นโอกาสของเราในการที่จะหาความก้าวหน้า และเติบโตได้อย่างไม่สิ้นสุด

      วิธีการทำตลาดและการขายสมัยก่อนไม่มีความซับซ้อน เช่นจากโรงงานสู่เอเย่นต์ใหญ่ ขายส่งสู่เอเย่นต์ย่อย มาถึงร้านค้าหน้าปากซอย จึงถึงมือผู้บริโภค ทำให้เกิดการทำกำไรกันหลาดทอดกว่าจะถึงมือผู้บริโภค  เมื่อเวลาผ่านไปเกิดวิวัฒนาการของการตลาดขึ้นจึงตัดขั้นตอนจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภคโดยตรง กำไรระหว่างทางก็แบ่งจ่ายให้กับผู้ขายตรงได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ นี่แหละครับ ที่มาของรายได้ที่มากมาย

     ลักษณะที่อธิบายมานี้นั้น เป็นการขายตรงชั้นเดียว  เป็นงานขายที่พนักงานขายจะมีภารกิจสำคัญ คือ การขายสินค้าเท่านั้น คือ หาผู้มุ่งหวัง นำเสนอ และปิดการขายให้ได้

     ส่วนการขายตรงหลายชั้น หรือ MLM พนักงานขายมิได้มีภารกิจเพียงแค่การขายสินค้าให้ได้เท่านั้น

     หลังจากที่สามารถขายได้แล้ว  เขายังต้องพยายามเชิญชวนลูกค้าของเขาคนนั้น ให้สมัครเป็นสมาชิกของบริษัทด้วย แทนที่จะเป็นลูกค้าผู้ซื้อธรรมดาคนหนี่งเหมือนทั่วๆไป  หลังจากที่สามารถเชิญชวนลูกค้าให้สมัครสมาชิกแล้ว ก็ต้องหาโอกาสชักชวนให้มาเป็นผู้ขายเหมือนกัน

สรุปคือ งานของขายตรงหลายชั้น จะมี 3 ส่วน คือ

  •       จากผู้มุ่งหวังทำให้เป็นลูกค้า
  •       จากลูกค้าทำให้เป็นลูกค้าประจำ โดยการสมัครเป็นสมาชิก
  •        และจากลูกค้าประจำ ก็ชวนให้มาทำงานขายด้วยกัน

     ดังนั้น ลักษณะงานจึงมี 2 อย่างด้วยกัน คือ ขายของให้คนซื้อ เรียกว่า งานขาย และเมื่อมีโอกาสก็ชวนให้เขามาขายด้วยกัน เรียกว่า งานขยาย  ต่อจากนั้นก็จะแนะนำให้คนที่ซื้อที่ขณะนี้ได้กลายเป็นคนขาย ไปทำอย่างเดียวกับที่เราทำกับเขา และแนะนำให้ทำเช่นนี้ต่อๆกันไป คล้ายห่วงโซ่ที่คล้องกันอยู่หลายชั้น ซ้อนกันไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง

     นางสำลีเป็นคนเย็บเสื้อ วันนึงเย็บได้ 2 ตัว ใช้เวลา 5 วัน ในการเย็บเสื้อ 10 ตัว เมื่อครบ 10 ตัวก็นำใส่รถไปส่งขายในเมืองเมื่อกลับมาก็ลองนั่งคำนวณดู ปรากฏว่าไม่คุ้มค่าน้ำมัน ถ้าจะให้คุ้มค่าน้ำมันต้องบรรทุกส่งเป็นร้อยขึ้นไปถึงจะคุ้มแต่จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะคนเดียวเย็บได้ 2ตัวต่อวัน  กว่าจะครบร้อบก็ใช้เวลา 50 วัน

     นางสำลีสำลีจึงใช้เวลาเย็บเสื้อครึ่งวัน ซึ่งจะได้แค่ 1 ตัว ส่วนเวลาที่เหลือ นางสำลีก็ออกไปชวนเพื่อนบ้านให้มาเย็บผ้าอย่างเธอ ซึ่งครึ่งวันชวนได้ 4 คน

     ในการชวนนางสำลีก็ชวนเหมือนอย่างที่เธอทำคือ เย็บเสื้อ 1 ตัว แล้วเอาเวลาที่เหลือไปชวนคนอื่นอีก 4 คนทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าด้วยวิธีนี้ วันที่ 4 เธอจึงได้เสื้อเท่ากับ 156 ตัว  แทนที่จะใช้เวลา 50 วัน  ส่วนผลประโยชน์ที่ได้นั้น ส่วนที่ทำเองก็ได้รับค่าแรงเต็มราคา  ส่วนตัวอื่นๆก็แบ่งส่วนแบ่งให้โดยลดหลั่นลงไปตามสัดส่วนตามตกลงกัน

      ขายตรงชั้นเดียวธรรมดา จะทำเพียงแต่ขายลูกเดียวเช่น งานขายประกัน เป็นต้น  แต่ขายตรงหลายชั้นไม่ต้องใช้เวลาขายมากอย่างขายตรงชั้นเดียว เพียงแค่ใช้เวลาส่วนหนึ่งไปชวนคนมาช่วยขาย ชวนคนมาช่วยทำ….!

     ทีนี้พอเห็นความแตกต่างหรือยังครับ ?  แหละนี่คือวิธีการทำงานที่ทำให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ โดยใช้ระยะเวลาอันสั้น  หากเป้าหมายชีวิตของคุณคือการมีบ้าน มีรถ มีที่ดิน มีเงินเก็บ รวมเบ็ดเสร็จคิดเล่นๆอาจจะซัก 4-5 ล้าน ด้วยวิธีนี้เองคุณจะไม่ต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตเพื่อบรรลุเป้าหมาย

เพื่อให้คุณเห็นภาพของธุรกิจเครือข่ายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองดู VDO  ที่ link นี้เลยครับ

error: do not copy content!!