ทุกวันนี้ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือระดับน้ำตาลในเลือดสูงอยู่ประมาณ 4.2 ล้านคน คิดเป็น 7.1% ของประชากรในประเทศ และมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีภาวะโรคแทรกซ้อนที่นำมาซึ่งการเป็นโรคตา โรคหัวใจ และโรคไต สุดท้ายก็นำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ซึ่งปัจจัยทางสังคมก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน
เช่น เพศ กรรมพันธุ์ อายุ พฤติกรรมการใช้ชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ที่เสี่ยงได้แก่ การชอบกินอาหารหวาน มัน รวมทั้งความเคร่งเครียดจากการทำงานด้วย
ค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่ถือว่าปกติ หรือยังไม่เข้าขั้นเป็นเบาหวาน จะต้องมีค่าไม่เกิน 100 ถ้าหากวัดค่าน้ำตาลในเลือดแล้วอยู่ในช่วง 100-125 ถือว่าค่อนข้างสูง หรือเรียกว่ามีอาการเบาหวานระยะแรก
อยู่ในช่วง 126-180 ถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก และถ้าวัดได้เกิน 180 ขึ้นไป ถือว่าอยู่ในขีดอันตราย
ค่าระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้นเมื่อระดับของน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูง เนื่องจากระดับอินซูลินของร่างกายลดลง หรือไม่มีอินซูลินเพียงพอที่จะควบคุมกลูโคส ซึ่งภาวะแบบนี้ทำให้มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้
เราสามารถสังเกตุอาการที่เป็นสัญญาณเตือนได้
1. ฉี่บ่อย และปากแห้ง จะปัสสาวะหลายครั้งใน 1 วัน ปัสสาวะเป็นฟอง และปัสสาวะหวานจนมดขึ้น
2. กระหายน้ำบ่อยๆ การมีน้ำตาลในเลือดจำนวนมากเกิน จะทำให้ความดันของไตเพิ่มขึ้น ทำให้ขับถ่ายและดื่มน้ำมากขึ้น
3. ง่วงนอนบ่อย เมื่อยตัว อ่อนเพลีย เมื่อยล้าตลอดเวลา การมีระดับน้ำตาลในเลือดที่มากเกินไปแต่เซลล์กลับไม่ได้รับน้ำตาลอย่างเพียงพอ จึงส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ล้า อิดโรย รู้สึกอ่อนเพลียเหนื่อยล้าได้ง่าย
4. ตาพร่ามัว การมองเห็นแย่ลง น้ำตาลในเลือดสูงจะทำให้เซลล์ของตาบวม
5. รู้สึกหิวตลอดเวลา หิวบ่อย เพราะระดับน้ำตาลในเลือดสูง จึงทำให้ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานได้
6. มีอาการบวมชาที่มือและเท้า เป็นผลมาจากระบบไหลเวียนโลหิตที่ไม่ดีของหลอดเลือดแดงและเส้นประสาท บางครั้งอาจมีปวดแสบปวดร้อนที่มือและเท้า
7. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ในบางรายจะมีอาการเบื่ออาหาร ไม่หิวข้าว
8. มีอาการหน้ามืด เวียนหัวและวูบบ่อยครั้ง
หากคุณมีอาการเหล่านี้ มีความเป็นไปได้ว่า น้ำตาลในเลือดสูง และมีความเสี่ยงในการเป็นเบาหวาน
โรคเบาหวาน หรือ ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น
1) ผลสืบเนื่องจากการเป็นโรคความดันโลหิตสูง
2) มีรูปร่างอ้วน หรือ มีน้ำหนักตัวเกินปกติ
3) คนในครอบครัวมีประวัติเป็นเบาหวาน
4) มีพฤติกรรมการกินที่มีส่วนประกอบของแป้งและน้ำตาลในปริมาณมาก
5) ตับอ่อนสร้างอินซูลินได้น้อยลง หรือมีการทำงานผิดปกติ ที่ทำให้มีอินซูลินน้อยกว่าน้ำตาลในเลือดเมื่ออายุมากขึ้น
มีลักษณะสำคัญ 2 ประเภท ดังนี้
- ประเภทที่ 1 ต้องพึ่งอินซูลินโดยการฉีด คือคนที่ตับอ่อนเสื่อมสภาพจนไม่สามารถสร้างอินซูลินเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เลย ส่วนใหญ่มีอายุน้อย ผอม อาการของโรคลุกลามรวดเร็ว และรุนแรง
- ประเภทที่ 2 เพิ่มอินซูลินในร่างกายได้โดยการรับประทานยา คือผู้ป่วยที่ตับอ่อนยังสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้ แต่ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร
ประกอบกับร่างกายต้องการอินซูลินมากกว่าปกติเพื่อใช้ในการเผาผลาญสารอาหารที่มากเกินพอนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นคนสูงอายุ อ้วน อาการของโรคไม่รุนแรง บางรายไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเป็นเบาหวานอยู่
1. ติดตามตรวจสุขภาพอยู่เสมอ ตรวจทั้งระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต คอเลสเตอรอล
2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
3. รับประทานยาตามแพทย์สั่ง ในปริมาณ ขนาด และเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
4. ถ้ารับประทานอาหารตามปกติไม่ได้ ให้ดื่มเครื่องดื่มหรือน้ำผลไม่ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบแทน
และสามารถเลือกทานสมุนไพรเพื่อช่วยใน การรักษาโรคเบาหวานเช่น ว่านหางจระเข้ ที่มีคุณสมบัติเด่นมากในการช่วยลดน้ำตาลในเลือด
พืชสมุนไพรที่ขึ้นชื่อเรื่อง การรักษาโรคเบาหวาน ดีที่สุด คงหนีไม่พ้น “ว่านหางจระเข้” เพราะมีสารสำคัญคือ โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharide)
ชนิดที่มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน จะช่วยให้น้ำตาลในเลือดถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับร่างกายได้ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
อีกทั้งผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลยังพบว่าน้ำว่านหางจระเข้ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว ยังช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้อีกด้วย
น้ำสกัดจากว่านหางจระเข้ยังเหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่มักเกิดบาดแผลหายช้าจนติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากมีสรรพคุณลดอาการบวมและช่วยสมานแผล จึงยับยั้งการเกิดแผลเรื้อรังจากเบาหวานได้
การเป็นเบาหวานนำมาสู่การเป็นโรคร้ายต่างๆตามมา ไม่ว่าจะเป็น ไตเสื่อม ไตวาย โรคหัวใจและหลอดเลือด จอประสาทตาเสื่อม หรือแม้กระทั่งเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
เป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิต สำคัญอย่างยิ่งที่เราต้องใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน
นอกจากการควบคุมอาหารการกิน และออกกำลังกายเป็นประจำแล้ว, เครื่องดื่มน้ำว่านหางจระเข้ S Vera Plus จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แบบธรรมชาติบำบัด 100% ที่ใช้ควบคู่ไปกับการรักษาได้อย่างดี
เป็นการใช้สมุนไพรธรรมชาติใน การรักษาโรคเบาหวาน และยังช่วยลดการทานยาแผนปัจจุบัน ที่อาจนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อน และผลข้างเคียงได้
เพราะเอสเวร่าพลัส S Vera Plus เป็นน้ำว่านหางจระเข้ที่ผลิตจากว่านหางจระเข้แท้ๆสายพันธุ์ “บาร์บาเดนซิส” ที่เป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุด ปลอดสารเคมี เพราะปลูกแบบออร์แกนิค
ผ่านขั้นตอนการบรรจุลงขวดโดยคงคุณค่าของว่านสดไว้ได้มากที่สุด ทำให้ได้รับคุณประโยชน์สรรพคุณของว่านหางจระเข้เต็มร้อย ที่สำคัญ ไม่ใส่สารกันบูดและไม่ใส่สี
เมื่อทานน้ำว่านหางจระเข้ S Vera Plus จะรู้สึกได้ถึงว่านหางจระเข้สดๆ จากธรรมชาติเลย และปลอดภัยต่อสุขภาพ
เพียงทานน้ำว่านหางจระเข้ครั้งละ 1 จอก (แก้วจอกจะมีให้ในกล่องสินค้า) ก่อนอาหารเช้าและเที่ยง รสชาติไม่ฝาด ทานง่าย (รสจืดเหมือนกินว่านสดๆ) 1 ขวดสามารถทานได้ประมาณ 1 เดือน
ทานต่อเนื่องได้ตลอด.. ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย เพราะเป็นว่านหางจระเข้สด 99% อีก 1% คือ สารสกัดจากผลโกจิเบอร์รี่ (Goji berry Extract) และวิตามินซี (Ascorbic Acid)
น้ำว่านหางจระเข้ S Vera Plus จึงเป็นอีกหนึ่งอาหารเสริมบำรุงร่างกายที่อุดมด้วยคุณค่าจากสมุนไพรธรรมชาติจริงๆ เป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้เป็นโรคเบาหวาน
- รายละเอียด : น้ำว่านหางจระเข้ S Vera Plus
- รีวิว S Vera Plus รักษากรดไหลย้อน
- น้ำว่านหางจระเข้ S Vera Plus สินค้าขายดี