
เราจะลดการสูญเสีย enzyme ในร่างกายได้อย่างไร
เอนไซม์ (Enzyme) เป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อขบวนการชีวเคมีต่างๆในร่างกายของเรา เอนไซม์ช่วยทำให้กระบวนการและ pathway ต่างๆของร่างกายเป็นไปได้อย่างปกติสมบูรณ์
“การเพิ่มปริมาณเอนไซม์ ในร่างกายนอกจากการกินอาหารให้ถูกหลักแล้ว เรายังต้องป้องกันการสูญเสียเอนไซม์และกระตุ้นเอนไซม์ด้วย”
กระบวนการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตต่างๆจะต้องสูญเสียเอนไซม์อยู่ตลอดเวลาแม้กระทั่งเวลาหลับ ดังนั้นร่างกายที่อุดมไปด้วยเอนไซม์ก็เท่ากับมีสุขภาพดีและแข็งแรง
ขณะที่การเป็นโรคก็หมายถึง การมีเอนไซม์ไม่พอเพียง เหมือนเวลาที่รายจ่ายมากกว่ารายรับก็ทำให้เงินขาดมือได้ และสาเหตุหลักๆของสภาวะเอนไซม์ไม่เพียงพอก็คือ ปริมาณเอนไซม์ที่ใช้ไปมากกว่าปริมาณเอนไซม์ที่ได้รับนั่นเอง..
แม้ว่าเราจะไม่ได้รับเอนไซม์โดยตรงก็ตาม แต่เราก็สามารถนำโปรตีนในอาหารมาใช้สร้างเอนไซม์ได้อยู่ พวกจุลินทรีย์ในลำไส้ก็ยังช่วยสร้างเอนไซม์ได้เช่นกัน
ฉะนั้นปริมาณเอนไซม์ในอาหารที่กินกับปริมาณเอนไซม์ที่ร่างกายได้รับอาจไม่เท่ากัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาวะและปริมาณเอนไซม์ที่มีอยู่เดิมในร่างกายนั่นเอง..
ขอย้ำว่า “สิ่งที่ทำให้สิ้นเปลืองเอนไซม์ ที่สุดก็คือ กระบวนการกำจัดพิษในร่างกาย”
ไม่ว่าจะเป็นหลังจากกินอาหารที่ไม่ดีเข้าสู่ร่างกายอย่างเช่น แอลกอฮอล์ในเหล้า สารพิษกว่า 10 ชนิดในบุหรี่ คาเฟอีนในกาแฟและชา กรดแทนนิกในชาเขียว รวมทั้งสารเคมีต่างๆที่ใช้เติมแต่งอาหาร
แม้แต่เชื้อโรคและแบคทีเรียที่ขัดขวางการทำงานของฮอร์โมน อนุมูลอิสระต่างๆ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และความเครียด เมื่อสิ่งเหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย เราจึงจำเป็นจะต้องใช้เอนไซม์จำนวนมากเพื่อกำจัดมันออกไป..
ถ้าอวัยวะใดในร่างกายใช้เอนไซม์ชนิดนึงไปเป็นปริมาณมาก อวัยวะส่วนที่เหลือก็จะเกิดการขาดเอนไซม์ แต่ร่างกายมีกลไกควบคุมการใช้เอนไซม์ “ซึ่งจะลำดับก่อน-หลัง ตามที่ถูกกำหนดไว้แล้วด้วยระดับความเสี่ยงต่อชีวิต”
พูดง่ายๆคือ อวัยวะใดขาดเอนไซม์แล้วจะเกิดอันตรายถึงชีวิต ก็จะถูกจัดลำดับความสำคัญไว้ลำดับต้นๆ เช่นเดียวกับหลักการใช้เงินที่ต้องจ่ายให้กับค่าครองชีพพื้นฐานก่อนจะจ่ายเพื่อซื้อของที่ชอบหรือของใช้ฟุ่มเฟือย
อวัยวะแรกที่ร่างกายจะต้องปกป้องคือหัวใจ เพราะหากหัวใจหยุดเต้นก็จะไม่สามารถส่งเลือดใหม่ไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกายได้ อวัยวะอื่นๆก็จะตาย
นี่คำตอบว่า “หัวใจจึงเป็นอวัยวะเดียวที่ไม่เป็นโรคมะเร็ง” ซึ่งน่าจะเป็นเพราะหัวใจมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง แถมยังเป็นอวัยวะแรกที่เอนไซม์จะต้องปกป้องนั่นเอง..
ลำดับต่อมาก็คือ “การกำจัดพิษที่เข้าสู่ร่างกาย” ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าการย่อยและดูดซึม ถ้าต้องใช้เอนไซม์ปริมาณมากเพื่อกำจัดพิษติดต่อกันเป็นเวลานาน
enzyme ที่ใช้สำหรับดูดซึมสารต่างๆที่จำเป็นต่อร่างกายก็จะไม่พอ ซึ่งนอกจากจะสูญเสียเอนไซม์ไปแล้ว ปริมาณเอนไซม์ที่ร่างกายจะดูดซึมเข้าไปได้ยังลดน้อยลงอีกด้วย เท่ากับเป็นการทำร้ายร่างกาย 2 ทางเลย..
แต่คนสมัยนี้ต้องใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ทำให้สูญเสียเอนไซม์ได้ง่าย หลายคนต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทุกวัน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากอุปกรณ์ไฟฟ้าเหล่านี้ก็จะเข้าสู่ร่างกาย
รวมทั้ง notebook เตาแม่เหล็กไฟฟ้า โทรทัศน์ ผ้าห่มไฟฟ้า ล้วนมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีเชื้อโรคและแบคทีเรียก่อโรคที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นอีก..
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองต้องสูดรับตัวขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนหรือควันพิษในอากาศเข้าสู่ร่างกายอยู่ทุกวี่วัน ดังนั้นการหลีกเลี่ยงอันตรายเหล่านี้ในยุคปัจจุบันจึงแทบเป็นไปได้ยาก.. เราจึงจำเป็นต้องพยายามป้องกันไม่ให้สารพิษและสิ่งที่เป็นพิษเข้าสู่ร่างกายเป็นอย่างยิ่ง
การหลีกเลี่ยงสารพิษที่เห็นได้ชัดง่ายๆคือ การเลิกเหล้า บุหรี่ โดยเฉพาะบุหรี่ที่ไม่เพียงมีอันตรายต่อตัวเอง แต่ยังส่งผลร้ายต่อคนรอบข้างอีก การสูบบุหรี่และดื่มเหล้า
นอกจากทำให้ร่างกายสิ้นเปลืองเอนไซม์ในการกำจัดพิษแล้ว ยังทำให้หลอดเลือดตีบ ทำลายระบบไหลเวียนต่างๆในร่างกายและขัดขวางการทำงานของเอนไซม์อีกด้วย
พิษอีกชนิดที่เกิดในร่างกายจากรูปแบบการกินที่ไม่มีกฎระเบียบ เช่นกินเนื้อสัตว์มากเกินไป ได้รับเส้นใยอาหารและน้ำไม่เพียงพอ จึงทำให้เกิดพิษจากอาหารที่เน่าเสียอยู่ในลำไส้
คนที่ท้องผูก มีแก๊สในลำไส้มาก ผายลมหรืออุจจาระมีกลิ่นเหม็นมากผิดปกติ ก็เกิดจากอาหารที่บูดเน่าอยู่ภายในลำไส้นั่นเอง คนเหล่านี้จึงจำเป็นต้องปรับปรุงรูปแบบการกินให้ได้
และพยายามให้สารพิษในลำไส้ถูกขับออกมาพร้อมอุจจาระโดยเร็วที่สุด สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนให้ระวังก็คือ ไม่ควรกินยาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารหรือยาแก้ท้องผูกติดต่อกันนานเกิน 2 อาทิตย์
คนส่วนใหญ่มักกินยาเมื่อรู้สึกไม่สบาย..ถือว่าเป็นความคิดที่ผิด เพราะโดยพื้นฐานแล้วยาทุกชนิดมีพิษอยู่แล้ว ยาให้ผลในการรักษาโรคได้ก็จริง
หมอเองต้องเขียนใบสั่งจ่ายยาให้คนไข้ แต่จะจ่ายยาก็ต่อเมื่อสังเกตอาการคนไข้แล้วแน่ใจว่ายานั้นมีประโยชน์มากกว่าโทษ
ที่จริงถ้าปวดท้อง โรคกระเพาะไม่รุนแรง อาหารไม่ย่อย ท้องเสีย ท้องผูก หรือเป็นหวัดก็ไม่จำเป็นต้องกินยา ขอเพียงให้ร่างกายหรือกระเพาะได้พัก ชดเชยเอนไซม์และวิตามินเข้าไป ไม่นานก็จะหายได้เอง
ท่องให้ขึ้นใจไว้เลยว่า “ยิ่งใช้เอนไซม์สำหรับกำจัดพิษน้อยเท่าไหร่.. ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเราก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ..”
บทความเพิ่มเติม >>
- เสริมเอนไซม์ชั้นดี ให้กับร่างกายด้วย S.O.D
- SOD สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระดีที่สุดในโลก
- อากาศร้อน ระวังท้องเสีย