FAQ, อุณหภูมิร่างกายต่ำ เป็นมะเร็งง่าย

เสี่ยง ‘เป็นมะเร็ง’ ได้ง่าย หากอุณหภูมิในร่างกายต่ำ

%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b9%87%e0%b8%99%e0%b8%a1%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%87-low-temperature-cancer

อุณหภูมิร่างกายต่ำ เสี่ยง ‘เป็นมะเร็ง’

คุณรู้หรือไม่ว่า อุณหภูมิของร่างกายที่ต่ำลงนั้นมีความสัมพันธ์ต่อการเกิดเซลล์มะเร็ง น่าแปลกใจที่เรื่องเกี่ยวกับอุณหภูมิร่างกายเป็นสิ่งที่หลายคนไม่ได้ให้ความสนใจ

แต่ที่จริงแล้วกลับมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยกระตุ้นเอ็นไซม์ ซึ่งรองมาจากโคเอ็นไซม์แค่นั้น   โดยอุณหภูมิที่ช่วยกระตุ้นเอ็นไซม์ได้ดีจะอยู่ระหว่าง 37-40 องศาเซลเซียส

ดังนั้นการที่เรามีไข้เวลาไม่สบาย ก็เป็นกลไกกระตุ้นเอ็นไซม์ให้ภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรงนั่นเอง เวลาเป็นไข้จึงไม่ควรพยายามลดไข้หรือกินยาลดไข้ทันที แต่ควรให้ร่างกายได้พักผ่อน เพื่อปรับสภาพแวดล้อมในร่างกายให้เอ็นไซม์พร้อมต่อสู้กับเชื้อโรคต่างหาก…

ที่ควรระวังเกี่ยวกับอุณหภูมิของร่างกายก็คือ “โรคอุณหภูมิในร่างกายต่ำ” จำนวนวัยรุ่นหญิงซึ่งมีอุณหภูมิพื้นฐานของร่างกายเพียง 35-36 องศาเซลเซียส และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง

โรคนี้อันตรายกว่าที่คิด เพราะทุกๆ 0.5 องศาของอุณหภูมิที่ที่ลดลง จะทำให้การกระตุ้นเอ็นไซม์ลดประสิทธิภาพลง และทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงถึง 35%  พูดง่ายๆคือ ถ้าอุณหภูมิร่างกายต่ำจะส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอไปด้วย..

โรคอุณหภูมิในร่างกายต่ำส่งผลให้เป็นมะเร็งได้

 เมื่ออุณหภูมิในร่างกายต่ำลง โอกาสผิดปกติของยีนจะมีมากขึ้น จึงมีโอกาสเป็นโรคมะเร็งได้ง่ายด้วย เซลล์มะเร็งจะเจริญเติบโตได้ดีที่ 35-36 องศาเซลเซียส

วิธีที่ได้ผลที่สุดในการแก้ปัญหาอุณหภูมิร่างกายต่ำคือ กินอาหารให้ถูกหลัก พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ

 อีกอย่างที่ต้องระวังในการกินก็คือ ไม่ควรกินอาหารแช่เย็นมากเกินไป… อาหารที่แช่เย็นมักทำให้รู้สึกชื่นใจคลายร้อน โดยเฉพาะฤดูร้อนเราจะกินมากโดยไม่รู้ตัว

เราควรหลีกเลี่ยงการกินของแช่เย็นหรือเครื่องดื่มเย็นๆเพื่อป้องกันไม่ให้อุณหภูมิในร่างกายต่ำลง การกินผักที่มีฤทธิ์ร้อนทำให้ร่างกายอบอุ่นอย่างขิงหรือต้นหอมจะช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายได้อีกทาง

ในช่วงฤดูหนาวที่ร่างกายต้องการความอบอุ่น บางคนก็จะแช่น้ำอุ่นเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นหรือใช้กระเป๋าน้ำร้อน แต่บางคนใช้ผ้าห่มไฟฟ้าซึ่งไม่แนะนำ เพราะจะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้น้ำในร่างกายระเหย จึงควรเลี่ยงไปใช้ตู้อบซาวน่าแทนดีกว่า

คนที่มีอุณหภูมิในร่างกายค่อนข้างต่ำ การไหลเวียนของเลือดจะไม่ค่อยดีไปด้วย การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมหรือการนวด จะทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น กลับกันการดื่มเหล้าสูบบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดหดตัว เลือดหมุนเวียนไม่สะดวก

ความรู้สึกมีความสุข    

เป็นตัวกระตุ้นเอ็นไซม์อีกอย่างนึง คนที่ไม่มีความสุขกับชีวิตถึงจะมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีก็มักไม่ค่อยเห็นผล  กลับกันคนที่มีชีวิตชีวา มีความสุข ถึงจะลำบากสักหน่อย เอ็นไซม์ก็ยังคงได้รับการกระตุ้นจึงไม่ค่อยเจ็บป่วย

ความรู้สึกในด้านลบอย่างความเครียด ความไม่พอใจ  มองโลกในแง่ร้าย อิจฉาริษยา โกรธ ล้วนเป็นพิษที่เกิดจากจิตใจ ถ้าสามารถควบคุมพิษให้อยู่ในระดับที่ไม่มากเกินไปได้

เอ็นไซม์จะสามารถกำจัดทิ้งได้ แต่ถ้ามากเกินไปก็จะทำให้เจ็บป่วยได้เหมือนกันกับพิษที่มาจากภายนอก

ถึงวงการแพทย์จะยังไม่สามารถพิสูจน์การมีอยู่ของจิตได้ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่ามีอยู่จริง เช่นถ้าอารมณ์ไม่ปกติ ต่อให้อาหารอร่อยแค่ไหนก็จะไม่รับรู้รส

แต่ถ้าเรามีความสุข แค่อาหารธรรมดาที่กินอยู่ทุกวันก็รู้สึกว่าอร่อยแล้ว.. ถ้ารู้สึกเบิกบานมีความสุขร่างกายก็จะแข็งแรง เมื่อร่างกายแข็งแรงจึงส่งผลกลับมาสู่จิตใจให้มีความสุขยิ่งขึ้น เชื่อว่าทุกคนเข้าใจได้ว่าร่างกายและจิตใจมีความสัมพันธ์กันมากมายขนาดไหน

อุจจาระ ปัสสาวะ และเหงื่อจำเป็นต่อการกำจัดพิษปรับอุณหภูมิ

การขับของเสียออกจากร่างกายคนเราแบ่งคร่าวๆได้ 3 ทางคือ อุจจาระ ปัสสาวะ และ เหงื่อ

  • อุจจาระอยู่ภายในลำไส้ใหญ่ ส่วนประกอบหลักคือกากอาหาร ซากแบคทีเรียในลำไส้ และเซลล์ผนังลำไส้ที่หลุดออกมาเนื่องจากกระบวนการเมทาบอลิซึม
  • ปัสสาวะเกิดจากการกรองเลือดของไตหรือของเสียที่อยู่ในเลือดส่วนประกอบประมาณ 98%ของปัสสาวะคือน้ำ ที่เหลือ 2%คือยูเรีย คลอรีน โซเดียม โพแทสเซียม กรดยูริค แอมโมเนียอีกอย่างละหน่อย
  • เหงื่อ เป็นของเหลวที่ขับออกจากทางต่อมเหงื่อ มีเกลือเป็นองค์ประกอบ ส่วนประกอบคล้ายปัสสาวะ แต่มีน้ำมากถึง 99.9%  จึงต่างกันเรื่องความเข้มข้น

หน้าที่หลักของอุจจาระและปัสสาวะ คือ ขับของเสียออกจากร่างกาย ส่วนหน้าที่หลักของเหงื่อคือ ปรับอุณหภูมิภายในร่างกาย บางคนเข้าใจว่าเหงื่อไม่มีส่วนช่วยในการขับของเสีย

แต่ความจริงแล้วเหงื่อยังมีบทบาทสำคัญอีกอย่างคือ ช่วยขับแร่ธาตุที่เป็นพิษ(โลหะหนัก)ที่สะสมในร่างกายด้วย

เมื่อวิเคราะห์ดูจะพบว่าจุดประสงค์ในการขับของเสียไม่ใช่แค่การกำจัดกากอาหารหลังจากที่ร่างกายดูดซึมสารอาหารไว้แล้วเท่านั้น หน้าที่สำคัญของการขับของเสียอีกอย่างคือ

นำของเสียที่เกิดจากกระบวนการเมทาบอลิซึม สารพิษทั้งที่รับจากภายนอกและที่เกิดขึ้นเองออกจากร่างกาย  โดยเฉพาะเมื่อใช้ชีวิตท่ามกลางสารพิษในปัจจุบัน การขับพิษออกให้เร็วที่สุดเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก

สารพิษเข้าสู่ร่างกายของเราได้หลายทางเช่น รังสีอุลตร้าไวโอเลตที่เกิดจากภาวะเรือนกระจก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์

สารไดออกซินจากควันของเตาเผาขยะ หรือแม้จะอยู่ในห้องที่คิดว่าปลอดภัย วัสดุในห้องก็อาจเป็นชนิดที่ปล่อยสารฟอร์มาลดีไฮด์ก็เป็นได้ นอกจากนี้สารลดแรงตึงผิว

แก้ปัญหาอุณหภูมิร่างกายต่ำเพื่อช่วยกระตุ้นเอนไซม์

ยาปฏิชีวนะที่ใช้เป็นประจำ ยากันเชื้อรา น้ำยาทำความสะอาด หรือแม้แต่ในอาหารก็มีสารพิษเช่น อาหารแปรรูปเกือบทุกชนิดมีสารเติมแต่งเกือบทั้งนั้น สารตกค้างในผัก แคดเมียมที่ปนเปื้อนในปลาและหอยจากน้ำทะเล

สารพิษและสารอาหารถูกลำไส้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายมาพร้อมกัน สารพิษจะถูกส่งไปกำจัดพิษที่ตับ จากนั้นก็ไหลผ่านลำไส้และไตทางกระแสเลือด ก่อนถูกขับออกจากร่างกาย

ร่างกายคนเรามีกลไกในการกำจัดพิษและขับของเสียอยู่แล้ว แต่ถ้ามีมากเกินไป ร่างกายกำจัดทิ้งได้ไม่หมดจึงสะสมอยู่ โดยเฉพาะโลหะหนักที่จับกับเอ็นไซม์ได้ นอกจากย่อยสลายยากแล้ว ยังขัดขวางการทำงานของเอ็นไซม์อย่างมาก

ร่างกายเราจะส่งเอ็นไซม์ปริมาณมากในการกำจัดพิษก่อนอื่น ถ้ากลไกกำจัดพิษถูกขัดขวางก็จะส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยรวม ส่งผลต่อการย่อยและดูดซึม กากของไขมันและโปรตีนจะไหลกลับเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เลือดข้นและเหนียว

ความสามารถในการขนส่งอาหารและกำจัดของเสียจะลดลง ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เลือดที่หมุนเวียนไม่ดีส่งผลให้มือเท้าเย็น ปวดเอว ผิวหมองคล้ำ และเกิดปัญหาสุขภาพอีกมาก

เลือดที่ข้นเหนียวยังมีผลต่อการขนถ่ายขยะและน้ำส่วนเกินในน้ำเหลือง ทำให้กล้ามเนื้อแข็งตึง การไหลเวียนของน้ำเหลืองที่ต้องอาศัยการยืดหดตัวของกล้ามเนื้อก็จะติดขัด ผลลัพธ์คือสารพิษและน้ำส่วนเกินจะสะสมอยู่ในร่างกาย

การขาดเอ็นไซม์ไม่เพียงขัดขวางการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองเท่านั้น เพราะการไหลเวียนของปัสสาวะที่ต้องอาศัยการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองนี่เอง

การส่งสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือด การไหลเวียนในลำไส้เพื่อขับกากอาหารออกจากร่างกายต่างก็แย่ตามไปด้วย และจากการไหลเวียนในลำไส้ที่แย่ลง อาหารจะย่อยและดูดซึมไม่หมด 

กากอาหารจำนวนมากจะถูกทิ้งไว้ในลำไส้จนกลายเป็นพิษ เมื่อสภาวะในลำไส้แย่ลง ตับก็จะอ่อนแอความสามารถในการย่อยสลายสารพิษและเมทาบอลิซึมจึงลดลงตามมา เป็นเหตุให้ภายในร่างกายยิ่งแย่ลงไปอีก

ถ้าต้องการตัดวงจรเหล่านี้ นอกจากต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้สารพิษเข้าสู่ร่างกายแล้ว การพยายามกำจัดพิษที่สะสมในร่างกายก็เป็นสิ่งที่สำคัญ

สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่สุดSOD เอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ

>> ดีท็อกลำไส้ง่ายๆด้วย Phytovy <<
>> น้ำเอนไซม์ S.O.D ต้านอนุมูลอิสระ  <<
>> ปรับระบบไหลเวียนเลือดด้วย T Chloroplus <<

error: do not copy content!!