ความทรงจำ กับ โรคสมองเสื่อม สัมพันธ์กันอย่างไร?
หน้าที่สำคัญอันหนึ่งของสมองคือ ความทรงจำ (Memory) โดยความทรงจำทำให้เราเป็นตัวเอง
แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่นักวิทยาศาสตร์ทำการลอกแบบพันธุกรรมขึ้นมาได้ (Cloning)
ถึงแม้จะมีหน้าตาเหมือนกัน แต่ถ้าคุยกับนาย A และ นาย B ก็จะพบความแตกต่างกันตรงที่สมองมีความจำไม่เหมือนกันอยู่ดี..
สมองเป็นอวัยวะที่มีระบบการทำงานที่ซับซ้อนมากที่สุดของร่างกาย แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าไปมากแล้วก็ตาม คอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีใดๆก็ยังไม่สามารถทำงานเทียบเท่าสมองคนเราได้
เพราะสมองคือ คอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนที่สุดในโลก แม้ว่าปัจจุบันนี้จะมี Nanotechnology และ Bioengineering แล้วก็ตาม แต่คงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าครึ่งศตวรรษถึงจะพัฒนาจักรกลชีวะที่มีความสามารถทัดเทียมเหมือนกับสมองมนุษย์ได้
สมองสามารถบันทึกเหตุการณ์ที่เราได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัสผ่านทางระบบประสาทการรับรู้ต่างๆนั้นเป็นกระบวนการที่น่ามหัศจรรย์ที่นักวิทยาศาสตร์เองก็ยังอธิบายไม่ได้
คงรู้แต่เพียงว่าสมองมีความสามารถในการเข้ารหัส(Encode)ความทรงจำต่างๆ โดยการสร้างทางเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์เข้าด้วยกัน
พอได้ระบบการเชื่อมต่อของแต่ละความทรงจำแล้วก็จะเก็บไว้อย่างเป็นหมวดหมู่เรียกว่า Engram และเจ้า Engram นี้ก็จะถูกนำไปเก็บไว้ตามกลีบสมองเหมือนการจำศีล
จนเมื่อใดมีการกระตุ้นที่เหมาะสมเราก็จะระลึกขึ้นได้ว่าเราเคยผ่านประสบการณ์อันนี้มาแล้ว การระลึกได้นี้เป็นอีกส่วนนึงที่มีความมหัศจรรย์ในตัวมันเอง
เรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าสมองทำได้อย่างไร?ในการนำความจำที่มีกระบวนการมากมายออกมาใช้..แล้วทำไมบางครั้งสมองถึงไม่สามารถค้นหา Engram เจอ (หรือที่เรียกว่า “ลืม” นั่นเอง)
การลืมตามกระบวนการต่างๆที่ว่ามา เป็นการลืมเพียงชั่วคราว ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้คุณคงเคยพบมาไม่มากก็น้อย เช่น “เบอร์โทรศัพท์คุณณเดช เบอร์123-4567 หรือ 123-4657 หรือ 123-7654…?? ”
แต่พอผ่านไปซักระยะ เราอาจมีความคิดแว้บขึ้นมาในสมองว่า “นึกได้แล้ว! เบอร์ที่ถูกต้องคือ 123-4567” ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ตั้งใจ..
ส่วนการลืมอีกแบบหนึ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือ “การลืมแบบถาวร” การลืมแบบนี้ต่างกันที่ว่า การลืมแบบชั่วคราวนั้น Engram ยังอยู่ปกติแต่สมองเราไม่สามารถนำมาใช้ได้ชั่วคราว
ขณะที่การลืมแบบหลังนี้อาจเกิดจากการที่เซลล์ประสาทและวงจรเชื่อมต่อที่สมองสร้างขึ้นเพื่อเก็บความทรงจำนั้นถูกทำลายไป (พูดง่ายๆ Engram ถูกทำลายอย่างถาวร)
ซึ่งกระบวนการนี้ก็คือ การเสื่อมของสมองนั่นเอง ถ้าเป็นมากโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับวัยเดียวกัน จะทำให้คนๆนั้นสูญเสียความทรงจำ ความสามารถในการจดจำ
รวมทั้งความสามารถในการตัดสินใจ คิด และความสามารถของสมองด้านอื่นๆอีกมาก ทำอย่างไรให้สมองเสื่อมช้าที่สุด?
เมื่อผ่านพ้นวัยที่เราโตเต็มวัยไปแล้ว สมองก็เริ่มนับถอยหลังเข้าสู่ช่วงของการเสื่อมตามธรรมชาติ.. โดยในแต่ละวันจะมีเซลล์สมองตายไปนับแสนนับล้านเซลล์
ฉะนั้นการดูแลสมองก็จะไม่เหมือนกับการดูแลสมองเพื่อให้พัฒนาเต็มที่ในช่วงที่เราอยู่ในวัยเด็ก แต่จะเปลี่ยนเป็นการดูแลรักษาให้สมองเสื่อมช้าที่สุดในวัยผู้ใหญ่
ทุกวันนี้จะเห็นโฆษณาว่าทำอย่างไรให้ผิวสวยที่สุด เนียนที่สุด กระชับที่สุด ผิวขาว เต่งตึงเหมือนเด็ก.. เดี๋ยวนี้คนเรามีอายุยืนขึ้นทุกวัน มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น ขณะที่จะพบกับโรคความเสื่อมของสมองมากขึ้นด้วย!
หลายคนคงเคยได้ยินข่าวถึงแก่อสัญกรรมของอดีตประธานาธิบดีโรแเนลด์ เรแกน เมื่อ 20 ปีก่อนท่านได้บอกแก่สาธารณชนว่าท่านกำลังป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์
ซึ่งเป็นโรคความเสื่อมของสมอง และเหตุที่ท่านออกมาประกาศแก่สาธารณชนก็เพราะต้องการให้รู้ว่าท่านป่วยเป็นโรคที่หลายคนดูไม่ออก
และในไม่นานท่านจะสูญเสียความทรงจำไปเรื่อยๆ เริ่มจากจำไม่ได้ว่าเมื่อวานทำอะไรไป ไล่มาจนเมื่อ 5 นาทีผ่านไปท่านได้ทำอะไรไปบ้าง จนไม่สามารถจำญาติพี่น้องแม้แต่ภรรยาที่รักมาก
และมีชีวิตอยู่ต่อไปเสมือนคนพิการทางสมอง ไม่ใช่พิการทางร่างกาย และสมองที่พิการก็ไม่ได้เป็นเนื่องจากอุบัติเหตุ แต่เป็นโรคที่ท่านไม่สามารถหยุดยั้งมันได้นั่นเอง..
นักวิทยาศาสตร์พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อการทำงานและเกี่ยวข้องกับความเสื่อมของสมอง เช่น สาร serotonin,tryptophan,melatonin,dopamine,GABA
ซึ่งสารเคมีบางตัวถ้ามีมากเกินไปก็มีผลทำให้สมองทำงานผิดปกติ ขณะที่บางตัวถ้ามีน้อยเกินไปก็ทำให้สมองทำงานผิดปกติหรือเสื่อมก่อนเวลาอันควรเช่นกัน
นอกจากสารเคมีแล้ว ฮอร์โมนก็มีผลต่อการเสื่อมของสมองเช่นกัน ฮอร์โมนเจริญเติบโตในเด็กหรือที่เรียกว่า Growth hormone (GH)ซึ่งลดลงอย่างมากเมื่อเราโตเต็มวัย จากการศึกษาพบว่าผู้สูงอายุที่ป่วยบางรายที่ได้รับ GH ในขนาดที่เหมาะสม จะมีการทำงานของสมองดีขึ้น ความจำดีขึ้นด้วย
อาหารการกินที่เราทานในแต่ละวัน
อาหารบางชนิดก็มีผลกระตุ้นการทำงานของสมองและเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานเช่น Ginko วิตามินอี กรดไขมัน โอเมก้า 3 ตรงกันข้ามสิ่งที่เราได้รับเข้าไปบางอย่างก็ทำให้เซลล์สมองเสื่อมเร็วขึ้น เช่น นิโคติน(จากบุหรี่) คาเฟอีน(จากกาแฟ) น้ำมันดิน(จากบุหรี่)
นอกจากการดูแลและบำรุงสมองด้วยอาหารดังกล่าวแล้ว ปัจจุบันนี้ยังมีเทคโนโลยีที่จะช่วยรักษาสมองของผู้ที่เป็นโรคเสื่อมอย่างรุนแรงเช่น พาร์กินสันในระยะท้าย
(โรคที่นักมวยมักเป็นกันมากเนื่องจากได้รับการกระทบกระเทือนศรีษะอย่างรุนแรงมาต่อเนื่อง เช่น มูฮัมหมัดอาลี) ที่ไม่ตอบสนองต่อยา หรือการผ่าตัดกระตุ้นสมอง (Deep brain stimulation, DBS) หรืออาจรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ลงในสมอง
จากการวิจัยพบว่าสเต็มเซลล์(stem cell)ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่จะพัฒนาไปเป็นเซลล์อะไรก็ได้ของร่างกาย ถ้าหากได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสมจาก Enzyme และ DNA ตัวอย่างเช่น
ถ้าเรานำ stem cell ไปปลูกถ่ายไว้กับกล้ามเนื้อหัวใจเราก็อาจได้เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจขึ้นมาใหม่ทดแทนกล้ามเนื้อหัวใจเดิมที่ตายเพราะขาดเลือด
หรือถ้าเอา stem cell ที่ว่านี้ไปปลูกถ่ายลงในสมองก็จะทำให้สมองสามารถสร้างเซลล์ประสาทของเราขึ้นมาใหม่ได้เหมือนกับตอนที่เรายังอยู่ในท้องแม่
เมื่อใดก็ตามที่วิทยาศาสตร์ทำได้ถึงระดับนี้แล้ว “มนุษย์คงไม่รู้จักคำว่าตาย” (ปัจจุบันเราสามารถปลูกถ่าอวัยวะได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย ยกเว้นสมอง)
ดังนั้นถ้าเราสร้างเซลล์สมองได้เรื่อยๆเราจะเป็นอมตะ เพราะอวัยวะอื่นๆสามารถหามาทดแทนได้หมด ยกเว้นสมองที่ไม่สามารถเอาของคนอื่นมาเปลี่ยนแทนได้
ปัจจุบันนี้มีวิทยาการใหม่ๆของการต่อสู้กับความเสื่อมของร่างกายที่เรียกว่า Anti-aging โดยนำเอาความรู้หลากหลายสาขามาประมวลผลเข้ากับการศึกษาปัจจัยที่ช่วยในการต่อสู้กับความเสื่อมของสมองเพื่อใช้ในการรักษา
ซึ่งนอกจากจะช่วยคนที่เป็นอัลไซเมอร์หรือโรคพาร์กินสันได้แล้ว ยังสามารถช่วยทุกคนที่เผชิญกับโรคเสื่อมอยู่เช่น มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจได้ เพราะเมื่ออายุมากขึ้นทุกคนจะตกอยู่ในภาวะเสื่อมถอยลงอยู่ตลอดเวลา..
>> หยุดอาการขี้หลง ขี้ลืม อัลไซเมอร์ด้วย Flow <<
>> สมองแทบสะดุด เมื่อหยุดเติมสารสื่อประสาท <<