
ดวงตา และ การมองเห็น
ถ้ามีคนถามว่าดวงตาคนเราทำอะไรได้บ้าง? ทุกคนคงตอบได้ว่าช่วยให้เรามองเห็นวัตถุ เห็นทาง เดินไปไหนมาไหนได้ เห็นภาพทิวทัศน์อันสวยงามรอบกาย..
สามารถทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันได้สะดวก ที่สำคัญคือทำให้เรารับรู้ รับเห็นสิ่งต่างๆ เกิดการเรียนรู้เกิดปัญญาฯ แต่ในความเป็นจริงตาคนเรานี้สามารถมองเห็นมากกว่าการมองเห็นธรรมดาๆอีกด้วย
ดังนั้นดวงตาจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์เราเป็นอย่างมาก เป็นอวัยวะที่ช่วยในการมองเห็นและรับรู้ภาพต่างๆ เป็นหนึ่งในประสาทสัมผัสที่สำคัญของร่างกาย
เราจึงใช้สายตาในการใช้ชีวิตประจำวันตลอดเวลายกเว้นขณะหลับ ไม่ว่าจะเป็นการมอง การแปลผลสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรา การป้องกันตัวเองให้ปลอดภัย ตลอดจนการช่วยในด้านการเรียน การอ่านหนังสือ ดูทีวีและทำกิจกรรมอื่นๆ
ในบางครั้งดวงตายังเป็นหน้าต่างของหัวใจของใครหลายๆคนเลยก็ว่าได้ หากดวงตาของเราไม่สามารถมองเห็นหรือเกิดปัญหาขึ้นกับดวงตาของเราแล้ว คงเห็นแต่โลกที่มืดมิด ขาดสีสัน ขาดการรับรู้ที่สำคัญของมนุษย์เราไป
ทำให้ต้องใช้จินตนาการร่วมกับประสาทสัมผัสอื่นๆในการสร้างภาพประกอบสิ่งต่างๆรอบตัวเรา ดังนั้นดวงตาของเราจึงมีความสำคัญต่อชีวิตเราอย่างยิ่ง เราจึงควรเรียนรู้ส่วนประกอบหลักของดวงตาที่ช่วยในการมองเห็นว่ามีหน้าที่อย่างไรบ้าง
นัยน์ตาขาว (Sclera)
เป็นส่วนสีขาวของลูกตา ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายต่อลูกตา ช่วยให้เกิดความแข็งแรงและเป็นโครงสร้างของลูกตา
เลนส์แก้วตา (Lens)
เลนส์แก้วตาเป็นส่วนใสๆอยู่หลังม่านตา หน้าที่เลนส์แก้วตา คือ ช่วยโฟกัสเพื่อการมองเห็นที่ชัดเจนมากขึ้นในการอ่านหรือการมองในระยะใกล้โดยการปรับรูปร่างของเลนส์ให้เหมาะสม
กระจกตา (Cornea)
กระจกตามีลักษณะเป็นเยื่อบางใส รูปทรงคล้ายหน้าต่างรูปโดมที่ครอบคลุมอยู่ด้านหน้าของลูกตา มีพื้นผิวที่ทำหน้าที่หักเหแสงที่ผ่านเข้าไปในลูกตาทำให้ดวงตามีกำลังที่จะโฟกัสได้มากถึง 2/3เท่า
ช่องหน้าลูกตา (Anterior chamber)
ซึ่งมีน้ำไหลเวียนอยู่ และป้องกันการติดกันระหว่างเลนส์ตา (Lens) และ กระจกตา (cornea) อยู่ระหว่างด้านหลังของตาดำและด้านหน้าของม่านตาและเลนส์ตา
ม่านตา (Lris)
ม่านตาเป็นส่วนที่เป็นสีของนัยน์ตา ซึ่งอาจมีสีดำ สีน้ำตา หรือสีฟ้าตามเชื้อชาติ ม่านตาทำหน้าที่เปรียบเสมือนรูรับแสงของกล้องถ่ายภาพ คือช่วยในการควบคุมขนาดของรูม่านตา โดยการหดตัว หรือขยายตัวของกล้ามเนื้อม่านตา
เพื่อให้ปริมาณแสงที่ผ่านเข้าไปสู่เลนส์ตาอยู่ในระดับพอเหมาะ โดยปกติรูม่านตาจะขยายเมื่ออยู่ในที่มืดและหดตัวเมื่ออยู่ในที่สว่าง เพื่อปรับแสงที่เข้าสู่ดวงตาให้เหมาะสมกับการมองเห็น และไม่เป็นอันตรายต่อจอประสาทตา
รูม่านตา (Pupil)
รูม่านตา คือ สีดำของนัยน์ตา อยู่ตรงกลางดวงตามีหน้าที่ควบคุมปริมาณแสงที่ผ่านเข้ามาสู่ลูกตา เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงจ้ารูม่านตาจะหดทำให้แสงเข้าตาได้น้อยลง ส่วนในที่มืดรูม่านตาจะขยายเพื่อให้แสงเข้าตาได้มากขึ้น
วุ้นลูกตา (Vitreous)
วุ้นลูกตามีลักษณะคล้ายเจลอยู่ด้านในช่องหลังลูกตาเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของตาในการช่วยรักษาและทำให้ตาคงรูปร่างปกติโดยมีน้ำเป็นองค์ประกอบประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณน้ำในดวงตา
คอรอยด์ (choroid)
คอรอยด์เป็นชั้นที่แทรกอยู่ระหว่างจอประสาทตาและนัยน์ตาขาว ด้านหลังประกอบด้วยเส้นเลือดจำนวนมาก เพื่อหล่อเลี้ยงจอประสาท
จอประสาทตา (Retina)
จอประสาทตาเป็นชั้นบางๆ ของเซลล์รับภาพที่อยู่ด้านหลังของดวงตา เป็นอวัยวะสำคัญที่ประกอบด้วยเส้นประสาทตาที่มีความละเอียดสูงอยู่ในผนังชั้นในของลูกตา ทำหน้าที่คล้ายกับฟิล์มถ่ายรูป
โดยจะทำหน้าที่ในการรับแสงส่งสัญญาณภาพที่ได้ผ่านไปทางเส้นประสาทตาสู่สมองเพื่อแปลสัญญาณเป็นภาพที่เรามองเห็นทำให้เรารับรู้ว่าเป็นภาพอะไร
เส้นประสาทตา (Optic Nerve)
เส้นประสาทตาอยู่ทางด้านหลังของลูกตา ทำหน้าที่เป็นตัวส่งผ่านการกระตุ้นของการมองเห็นจากจอประสาทตามายังสมอง เพื่อแปรผลภาพที่เรามองเห็น
จะเห็นได้ว่าทุกองค์ประกอบของดวงตามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการมองเห็น ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนกระทั่งเข้านอน เราใช้สายตาตลอดเวลา และมีการใช้สายตาเพิ่มมากขึ้น
การเห็นสีสัน
การมองเห็นสีต่างๆที่มีอยู่ในธรรมชาติ การที่ตาคนเราจะเห็นเป็นสีอะไรนั้นขึ้นอยู่กับว่าแสงสีอะไรมากระทบตา… คลื่นแสงในช่วง 400-700 นาโนมิเตอร์ ให้สีต่างๆกันเป็นสีรุ้ง
การที่ตาคนเรามองเห็นสีได้เนื่องจากในจอประสาทตามีเซลล์รูปกรวย(cone) เป็นตัวรับรู้การเห็นสีต่างๆ 3 ชนิดคือ coneสีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน
ดวงตา จะมองเห็นได้เป็นลานกว้างที่เรียกว่า ลานสายตา (visual field) แม้จะใช้ตาข้างเดียว และให้ตาจ้องไปที่จุดตรงกลางก็ใช่ว่าจะเห็นเฉพาะบริเวณตรงกลาง แต่จะเห็นกว้างไปทางซ้ายขวาตลอดจนขึ้นบนและลงล่างอีกด้วย
โดยส่วนตรงกลางจะเห็นชัดที่สุด ชัดกว่าส่วนข้างๆ ถ้าใช้สายตา 2 ข้างพร้อมกันส่วนข้างๆด้านจมูกที่เห็นลางๆก็จะชัดเจนยิ่งขึ้น นอกจากนี้ตาคนเรายังสามารถกลอกไปมาโดยอาศัยกล้ามเนื้อตากลอกตามองไปยังทิศทางที่ต้องการ
รวมทั้งอาศัยการหันหน้าไปมองวัตถุข้างๆทำให้เห็นวัตถุที่ค่อนข้างไปทางหลังได้มากขึ้นด้วย
- ตาของเรามองเห็นได้ทั้งกลางวัน-กลางคืน สามารถมองเห็นได้ชัดในที่สว่างและพอเห็นได้ในที่สลัว เพราะตาคนเรามีเซลล์ประสาทรับรู้การเห็นอยู่ 2 ชนิด
ชนิดหนึ่งใช้ในเวลากลางคืนเรียกว่า rod อีกชนิดที่ใช้ในเวลากลางวันเรียกว่า cone คนที่ตามีปัญหาบางชนิดที่การทำงานของ rod ลดลงอย่างมากจะทำให้ผู้นั้นเกิดสภาวะที่เรียกว่า ตาบอดกลางคืน เช่น ผู้ที่ขาดวิตามินA
- ตาของเรามองเห็นชัดได้ในหลายระยะ หลายคนคงนึกออกเมื่อเรามองตรงไปข้างหน้า เห็นทิวทัศน์ไกลๆได้ชัด ขณะเดียวกันนึกอยากจะอ่านตัวหนังสือตัวเล็กๆเราก็อ่านได้
มีคนเปรียบเทียบตาคนเราเหมือนกล้องถ่ายรูป สามารถปรับโฟกัสใกล้-ไกลได้ได้โดยอัตโนมัติและรวดเร็วกว่ากล้องถ่ายรูปเสียอีก โดยอาศัยขบวนการเพ่ง (accommodation)
ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเลนส์หักเหแสงของแก้วตา แต่ในคนสูงอายุขบวนการนี้เสียไป คนแก่เวลามองใกล้ไม่ชัด สายตาสั่้นเลยต้องใช้แว่นตาช่วย
- เห็นวัตถุเคลื่อนที่ได้ แสงจากวัตถุกระทบจอประสาทตาบริเวณที่ต่างๆกัน ในขณะเดียวกัน สามารถกลอกตาไปมาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราจับภาพและทราบว่าวัตถุกำลังเคลื่อนที่ได้
- การเห็นภาพเป็น 3 มิติ คือมองเห็นวัตถุทั้งความยาว ความกว้าง ความลึก เป็นความสามารถในการมองเห็นที่สูงสุดของคนเรา โดยสายตาทั้งสองข้างของคนๆนั้นจะต้องทำงานร่วมกันดีคือ มีตาตรงทั้งสองข้าง ไม่มีตาเข
มองไปทางไหนไปด้วยกัน หากใครที่เห็นชัดข้างเดียวหรือข้างใดข้างหนึ่งเข คนนั้นจะไม่เห็นวัตถุเล็กๆเป็น 3 มิติ การทำงานที่ละเอียดให้ได้ดีนั้นจะต้องมองเห็นเป็นภาพ 3 มิติได้
ซึ่งจะเห็นได้ชัดในผู้ที่เคยตาดีเห็นดีทั้ง 2 ข้าง แล้วจู่ๆตาข้างหนึ่งก็บอดกะทันหัน จะรู้สึกทันทีว่ากะระยะไม่ค่อยถูกทันที..
เรามองเห็นได้ดีแค่ไหน จะตรวจอย่างไร?
เนื่องจากการมองเห็นเป็นความรู้สึก ไม่อาจวัดเหมือนวัดระยะทางเป็นเมตรได้ เมื่อก่อนคงต้องดูว่าใครเห็นแม้วัตถุชิ้นเล็กๆหรือมองวัตถุที่อยู่ไกลๆ เช่นเครื่องบินอยู่บนท้องฟ้าได้ก็แสดงว่าคนนั้นมีสายตาดี เห็นได้ชัดเจน
แต่คงไม่เป็นมาตรฐานเพราะมีคำถามว่าแล้วมดตัวเล็กขนาดไหน? เครื่องบินที่บินไกลแค่ไหน? นักวิทยาศาสตร์จึงได้พยายามคิดหาหน่วยของความชัดสายตาคนเราเป็นตัวเลข
ซึ่งจะอธิบายได้ชัดเจนขึ้นโดยใช้ความสว่างมาตรฐาน 100 lumen ใช้แผ่นภาพมาตรฐาน Snellen Chart อยู่ห่างจากผู้ถูกตรวจ 6 เมตร
แผ่นภาพมาตรฐานจะประกอบด้วยภาพหรืออักษร เป็นตัวเลขรูปสัตว์ อักษรE แถวบนสุดจะมีขนาดใหญ่สุด และแต่ละแถวจะมีตัวเลขบ่งไว้
ตัวเลขนี้อาจจะพอบอกคร่าวๆได้ว่าผู้นั้นมีสายตาเป็นเท่าไหร่ของปกติ เช่น อ่านได้แถวบนแถวเดียว สายตาเป็น 20/200 หรือเป็น 1/10 ของคนปกตินั่นเอง
ถ้ามีสายตาเลวลงไปอีก คือ มองไม่เห็นแม้แต่อักษรที่ใหญ่ที่สุดในแผ่นภาพ ก็ใช้วิธีเลื่อนตัวผู้นั้นเข้าใกล้แผ่นภาพมากขึ้น เช่น เข้าไประยะห่างจากแผ่นภาพ 15 ฟุต 10 ฟุต หรือ 5 ฟุต ถ้าเข้าไปชิดแล้วก็ยังไม่เห็นก็แสดงว่าสายตาเลวกว่า 5/299
ซึ่งจะมีวิธีทดสอบต่อว่าสามารถเห็นโดยนับนิ้วในระยะ 1-2 ฟุตได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้หากผู้ตรวจโบกมือไปมาสามารถรับรู้ว่ามีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้าหรือไม่
ถ้ายังไม่ได้ก็จะทดสอบว่าสามารถเห็นและบอกทิศทางของแสงที่ส่องเข้าสู่ตาได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ยังพอรู้ว่ามีแสงไฟหรือไม่ ถ้าไม่รู้ก็เป็นอันว่าตาบอดสนิท…
นอกจากหน่วยวัดสายตาแล้วคนที่มีสายตาผิดปกติ เช่น มีสายตาสั้น ยาว เอียง ก็ยังมีตัวเลขที่บ่งถึงความผิดปกติว่าเป็นเท่าไหร่อีกด้วย มีหน่วยเป็นไดออปเตอร์(Diopter) เป็นหน่วยที่วัดถึงความสามารถในการหักเหแสงของเลนส์
สำหรับสายตาเอียงต้องแก้ด้วยเลนส์ทรวงกระบอกหรือเลนส์ก้านกล้วย (Cylinder) ซึ่งนอกจากจะมีตัวเลขบ่งบอกว่าเป็นเลนส์นูน หรือเลนส์เว้าแล้ว ยังต้องบอกแนวหรือแกนที่เอียงเป็นองศาด้วย
มารู้จัก Lutien
ลูทีนเป็นสารจากธรรมชาติกลุ่ม Carotenoid ที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตาทำหน้าที่ป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตาได้ ปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา
ช่วยลดอนุมูลอิสระที่ทำลายดวงตา “การรับประทานลูทีนทุกวันอย่างสม่ำเสมอ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ถึง 50% “
นอกจากนี้ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่หลายชนิดก็สามารถช่วยบำรุงดวงตา ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา,ช่วยลดอุมูลอิสระในจอตา ป้องกันอาการเสื่อมที่มักเกิดกับดวงตา
เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อ สายตาเสื่อมในคนสูงอายุ สายตายาวได้เป็นอย่างดีทีเดียว เช่น Blueberry ,Raspberry, Goji Berry,Bilberry
แม้ว่า ‘ดวงตา’ ของเราจะมีความสามารถอัศจรรย์เพียงไหน.. แต่การถนอมดูแลรักษาดวงตาหรือไม่ใช้สายตาหักโหมจนเกินไป บำรุงสายตาอยู่เสมอก็เป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะจะทำให้สายตาที่ดีอยู่กับเราได้ยาวนานขึ้นแน่นอน..