ตกขาว
เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความวิตกกังวลให้กับผู้หญิงจำนวนมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หลายๆคนก็ยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้
ตกขาว ได้อย่างไร? มันเป็นสัญญานบอกโรคร้ายแรงอะไรหรือไม่? แล้วจะต้องแก้ไขอย่างไร? ผู้หญิงที่มีตกขาวแสดงว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นใช่หรือไม่?
อันดับแรกต้องเข้าใจก่อนว่าผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์หรือวัยมีประจำเดือน รังไข่ยังคงผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนตามปกติ จึงทำให้ผู้หญิงดูมีน้ำมีนวลผิวพรรณเต่งตึงไม่เหี่ยวย่น
และฮอร์โมนเอสโตรเจนนี้เองยังช่วยให้เซลล์ในเยื่อบุช่องคลอดหนาตัวขึ้น มีเลือดไปหล่อเลี้ยงมากขึ้น ช่องคลอดจึงมีความชุ่มชื้น ไม่แห้งผาก
ซึ่งในเลือดที่มาหล่อเลี้ยงนี้ก็ไม่ได้มีเพียงเม็ดเลือดแดงเท่านั้นแต่ยังมีเม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่เหมือนทหารคอยป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆรวมอยู่ด้วย
เม็ดเลือดขาวจะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อในช่องคลอดได้มากซึ่งต่างกับผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนที่รังไข่หยุดการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว เยื่อบุช่องคลอดจึงบางลงและแห้งผากเลือดมาหล่อเลี้ยงน้อยลงทำให้ติดเชื้อได้ง่าย
สำหรับผู้หญิงวัยมีประจำเดือน ประจำเดือนก็จะมาเป็นรอบๆ โดยฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเพิ่มสูงสุดในช่วงกลางๆรอบเดือนมีการตกไข่ ถ้าไข่ไม่ได้รับการผสม ไม่เกิดการตั้งครรภ์ผนังเยื่อบุมดลูกก็จะหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน เป็นวงจรหมุนเวียนซ้ำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
ส่วนใหญ่ ตกขาว (leukorrhoea) ที่ปกติจะเกิดขึ้นใน 2 ช่วงคือ ช่วงที่ฮอร์โมนขึ้นสูงสุด ได้แก่ ช่วงกลางรอบเดือน ผู้หญิงจะรู้สึกเปียกชื้น บางคนจะมีความรู้สึกทางเพศในช่วงนี้
ตกขาว จะมีลักษณะเป็นมูกใสๆ คล้ายน้ำมูก อีกช่วงหนึ่งก็คือ ช่วงก่อนประจำเดือนมา หากจะอธิบายให้เห็นภาพประจำเดือนก็เปรียบเสมือนน้ำในเขื่อนที่ก่อนจะแตกต้องมีการรั่วซึมออกมาก่อน
ส่วนที่รั่วซึมออกมาก่อนก็คือตกขาวนั่นเอง ถือเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ในหญิงตั้งครรภ์ช่วง 3 เดือนแรกจะมี ตกขาว ลักษณะคล้ายแป้งเปียกออกมาเป็นจำนวนมาก
เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มสร้างรก ฮอร์โมนเพศหญิงจึงพุ่งสูงขึ้นเพื่อเตรียมผนังเยื่อบุมดลูกให้หนาพอสำหรับตัวอ่อนจะเข้าไปฝังตัวได้ ดังนั้นเรามักจะได้ยินผู้หญิงที่เริ่มตั้งครรภ์ในช่วงเดือนแรกๆบ่นว่าตกขาวเยอะ
แต่เมื่อมาตรวจแล้วก็ปรากฏว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ในวัยเจริญพันธุ์ตกขาวกลุ่มที่กล่าวมาถือว่าเป็นตกขาวตามธรรมชาติ ไม่ผิดปกติ
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือตกขาวที่ผิดปกติ แบ่งได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆคือ ตกขาวที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อและตกขาวที่ไม่ได้มีสาเหตุจากการติดเชื้อ
- ตกขาวที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อ มีอยู่ 4 ชนิด ได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อพยาธิ และเชื้อไวรัส สามารถวินิจฉัยได้ง่าย เพียงนำเชื้อไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
ก็จะทราบได้ว่าตกขาวที่เกิดขึ้นมานั้นเกิดจากการติดเชื้อชนิดใด? แล้วให้ยารักษาให้ตรงกับเชื้อโรค อาการตกขาวจะดีขึ้นและหายเป็นปกติ ขณะที่การติดเชื้อพยาธิและเชื้อไวรัสในช่องคลอดส่วนใหญ่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์
- ตกขาวที่ไม่ได้มีสาเหตุจากการติดเชื้อ วินิจฉัยได้ยากกว่าตกขาวที่เกิดจากการติดเชื้อ เพราะเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจจะเป็นเนื้องอก มะเร็งปากมดลูก หรือมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในช่องคลอด
เช่น มีถุงยางอนามัยตกค้างอยู่ในช่องคลอดโดยไม่รู้ตัวระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น ลักษณะของตกขาวที่มีความผิดปกติเป็นอย่างไร? มีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่มาพบแพทย์เพราะสังเกตเห็นว่ามีสีเหลืองสีเขียวติดกางเกงชั้นใน
อันที่จริงเมื่อตกขาวหลุดออกมาติดกางเกงชั้นในและสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศแล้ว จะเกิดการออกซิไดซ์กลายเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ในกรณีนี้ไม่ได้มีความผิดปกติใดๆเกิดขึ้น
ถ้าเป็นตกขาวที่บ่งบอกถึงโรค สีของตกขาวจะเป็นสีเหลืองสีเขียวตั้งแต่ในช่องคลอด รวมทั้งมีอาการแสบคัน รู้สึกผ่าวๆข้างในช่องคลอด ซึ่งควรพบแพทย์
ผู้หญิงเมื่อเข้าสู่วัยทองไม่ควรมีตกขาวแล้วเพราะไม่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้กับช่องคลอด ดังนั้นตกขาวที่เกิดขึ้นไม่น่าจะเกิดจากภาวะธรรมชาติ แต่น่าจะมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่า ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นปัญหาจากการติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ
ในกรณีที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ เป็นไปได้ว่าผนังช่องคลอดในหญิงวัยทองจะบางลง จึงติดเชื้อได้ง่ายแต่ถ้าสาเหตุไม่ได้มาจากการติดเชื้อ ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยเนื่องจากอายุที่มากขึ้นจะสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง และโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้นจะทำให้เกิดตกขาวได้มาก
ในกรณีที่เป็นตกขาว การไปซื้อยาเหน็บมารักษาเองจะทำได้หรือไม่ อันที่จริงต้องขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดตกขาวว่ามาจากอะไร? ยกตัวอย่างเช่น
เป็นตกขาวจากเชื้อราบ่อยๆ และเคยไปรับการตรวจว่าเป็นเชื้อราแล้วเป็นซ้ำๆ ก็สามารถซื้อยามารักษาเองได้ แต่ถ้าเป็นครั้งแรกยังไม่รู้สาเหตุ แนะนำให้พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุที่แน่ชัดจะดีกว่า
ส่วนใหญ่ตกขาวที่เกิดจากการติดเชื้อมักมีสาเหตุจากเชื้อราเพราะเป็นเชื้อที่มีอยู่ในช่องคลอดอยู่แล้ว ในสภาวะปกติช่องคลอดจะมีแบคทีเรียแลคโตบาซิลัสทำหน้าที่ย่อยสลายแป้งในเซลล์ให้กลายเป็นกรด
กรดชนิดนี้จะช่วยควบคุมไม่ให้เชื้อราเพิ่มจำนวน การรับประทานยาปฏิชีวนะจะทำให้แลคโตบาซิลัสถูกทำลาย และอาจเสียสมดุลภายในได้ เชื้อราในช่องคลอดจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้น
เกิดการติดเชื้อตามมา เมื่อหยุดยาปฏิชวนะ ช่องคลอดกลับสู่สภาวะปกติ แลคโตบาซิลัสจะเกิดใหม่ได้เอง ระบบนิเวศภายในช่องคลอดจะกลับสู่สมดุลอีกครั้ง
หากต้องล้างทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นขอแนะนำว่า “น้ำเปล่าดีที่สุด” เพราะช่องคลอดจะมีระบบนิเวศวิทยาของตัวเองอยู่แล้ว การที่เรานำอะไรเข้าไปล้างทำความสะอาด
จะทำให้ระบบนิเวศภายในช่องคลอดเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าบางอย่างจะอ้างว่าทำเลียนแบบธรรมชาติ แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าสามารถเลียนแบบธรรมชาติได้ร้อยเปอร์เซนต์หรือไม่?
ส่วนผู้ที่มีปัญหาเรื่องช่องคลอดมีกลิ่น แนะนำให้มาตรวจก่อน เพราะถ้ามีสาเหตุจากโรคก็จะได้รับการรักษา แต่ถ้าไม่พบความผิดปกติใดๆมีเพียงปัญหาเรื่องกลิ่น
และตัวผู้ป่วยต้องการใช้เพื่อให้กลิ่นสะอาด สร้างความมั่นใจ หากพิจารณาแล้วว่าปลอดภัย ไม่มีอันตรายใดๆ ก็สามารถใช้ได้ แต่สำหรับคนทั่วไปไม่แนะนำ
ดังนั้นเมื่อมีตกขาว สิ่งแรกที่แนะนำคือตรวจสอบดูก่อนว่าตกขาวที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับรอบประจำเดือนหรือไม่ ถ้ามาช่วงกลางรอบเดือนหรือก่อนประจำเดือนมา2-3วัน และไม่มีอาการแสบคัน
ส่วนใหญ่เป็นตกขาวที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หญิงตั้งครรภ์อาจมีตกขาวมากขึ้นเป็นภาวะธรรมชาติ ถ้าไม่มีอาการแสบคันก็ไม่ต้องกังวลอะไร แต่ถ้ารู้สึกผิดปกติ ไม่มั่นใจ ให้มาพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ
กรณีของหญิงตั้งครรภ์ถ้าจะซื้อยามาใช้เองต้องระมัดระวัง เพราะยาต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก วิธีที่ดีที่สุดคือการปรึกษาแพทย์
เพราะทุกวันนี้โรคส่วนใหญ่เกิดจากของที่เรากินเราใช้อยู่ ที่ศึกษากันจนรู้ถึงผลกระทบแล้วก็มีส่วนหนึ่ง แต่ที่ยังไม่รู้ก็มีอีกมาก ประเด็นคือ สิ่งที่เราไม่รู้และคิดว่าปลอดภัยต่างหากที่น่ากลัว จึงต้องระมัดระวังให้ดี
การรักษาสมดุลฮอร์โมนสำหรับผู้หญิงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงสภาวะต่างๆ เช่น ตกขาวมีกลิ่น รวมถึงโรคร้ายแรงเช่น เนื้องอก มะเร็งอีกด้วย
บทความที่น่าสนใจ