
เราจำเป็นต้องใช้ ‘น้ำตาเทียม’ หรือไม่
ตามปกติคนเราจะมีน้ำตาที่คอยหล่อเลี้ยงดวงตาอยู่ตลอด คอยให้ความชุ่มชื้นแก่กระจกตาและเยื่อบุตา ป้องกันการติดเชื้อ
ทั้งยังทำหน้าที่ชำระล้างสิ่งแปลกปลอมออกจากดวงตา โดยที่น้ำตาจะถูกสร้างออกมาจากต่อมน้ำตา พอเมื่อ ‘น้ำตา’ ถูกสร้างน้อยลงหรือระเหยไปเร็วจะทำให้เกิดอาการตาแห้ง
วิธีแก้ทางหนึ่งคือการใช้ น้ำตาเทียม โดยได้ถูกคิดค้นนำมาใช้ประโยชน์ในการให้ความชุ่มชื้นและเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงดวงตา เนื่องจากคุณสมบัติที่มีความใกล้เคียงกับน้ำตาที่ผลิตได้เองตามธรรมชาติ
ทำให้น้ำตาเทียมสามารถช่วยบรรเทา อาการตาแห้ง แสบตา ระคายเคืองตา
ตาแห้งเกิดจาก …?
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ ‘ตาแห้ง’ มีหลายอย่าง แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. อาการตาแห้งที่มีสาเหตุจากการผลิตน้ำตาลดลง เช่น ต่อมน้ำตาผลิตน้ำตาลดลง ท่อน้ำตาอุดตัน หรือมีการใช้ยาบางชนิดที่อาจไปมีผลให้มีการผลิตน้ำตาลดลงเป็นต้น 2. อาการตาแห้งที่มีสาเหตุจากการระเหยของน้ำตาที่ผิดปกติ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การใส่คอนแทคเลนส์ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ภาวะพร่องวิตามินเอ อายุที่มากขึ้น
การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ การดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ หรือเล่นมือถือสมาร์ทโฟนติดต่อกันเป็นเวลานานเป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้น้ำตาระเหยได้เร็วขึ้นกว่าปกติ
นอกจากนี้ในสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยในที่มีอากาศแห้งมาก ลมพัดแรง มีหมอกควัน หรือทำงานท่ามกลางแดดที่ร้อนจัด ล้วนเป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดอาการตาแห้งได้ทั้งนั้น
ผู้ป่วยในกลุ่มที่สองมักมีอาการตาแห้งเป็นส่วนใหญ่ และยิ่งมีคนเป็นกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ที่ต้องจ้องมองจอคอมพิวเตอร์นานๆ รวมทั้งการเล่นเกมส์และแชทไลน์กันในโทรศัพท์กันมากขึ้น อาการตาแห้งที่สามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง ได้แก่ อาการระคายเคืองตาคล้ายกับมีเศษผงเข้าตา รู้สึกแห้งฝืด แสบตา สายตามัวมองไม่ชัด ตาแดง ไม่สบายตา เป็นต้น
น้ำตาเทียมผลิตมาจากอะไร?
น้ำตาเทียม เป็นยาชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยสารสังเคราะห์หลายชนิดผสมกัน เพื่อให้มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำตาที่ผลิตจากต่อมน้ำตามากที่สุด โดยส่วนประกอบหลักก็คือสารให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตา
สารนี้จะเพิ่มความหนืดให้น้ำตาเทียม เพื่อให้น้ำตาเทียมเคลือบหรือฉาบหรือเกาะอยู่บนกระจกตาได้เป็นเวลานานขึ้น ตัวอย่างชื่อของสารพวกนี้ ได้แก่ เมททิลเซลลูโลส (methylcellulose) และโซเดียมไฮยาลูโรเนท (sodium hyaluronate)
นอกจากนั้นแล้วภายในน้ำตาเทียมยังประกอบไปด้วยสารอื่นๆอีกเช่น สารบัฟเฟอร์ (buffer) ,สารกันเสีย (preservative) เป็นต้น โดยสารบัฟเฟอร์จะทำหน้าที่ปรับสมดุลความเป็นกรด-ด่างของน้ำตาเทียมให้ใกล้เคียงกับน้ำตาที่ผลิตตามธรรมชาติ
เพื่อที่จะทำให้ไม่แสบตาเมื่อหยอดน้ำตาเทียม ตัวอย่างสารบัฟเฟอร์เช่น สารบัฟเฟอร์ของกรดโบริค (boric acid) และ โซเดียมโบเรท (sodium borate)
ส่วนสารกันเสียทำหน้าที่ป้องกันการเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ที่อาจปนเปื้อนลงไปใน ‘น้ำตาเทียม’ นั่นเอง ตัวอย่างสารกันเสียได้แก่ เบนซัลโคเนียมคลอไรด์ (benzalkonium chloride)
แต่น้ำตาเทียมบางอันก็ไม่มีสารกันเสีย โดยจากความแตกต่างของการใส่สารกันเสียนี้เอง ทำให้สามารถแบ่งชนิดของน้ำตาเทียมตามอายุการใช้งานหลังเปิดใช้ออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
- น้ำตาเทียมที่เปิดแล้วมีอายุการใช้งาน 1 เดือน น้ำตาเทียมประเภทนี้มีสารกันเสียอยู่ในส่วนประกอบรูปแบบยา มีทั้งที่เป็นสารละลายและเจล
- น้ำตาเทียมที่เปิดแล้วมีอายุการใช้งาน 24 ชั่วโมง น้ำตาเทียมประเภทนี้ไม่ได้ใส่สารกันเสีย อายุการใช้งานหลังเปิดใช้จึงสั้น
ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายจึงอยู่ในหลอดพลาสติกเล็กๆ ที่บรรจุน้ำตาเทียมในปริมาตรที่ใช้ได้หมดภายใน 24 ชั่วโมง เริ่มนับอายุการใช้งานทันทีหลังจากบิดเปิดหลอดน้ำตาเทียมจนครบ 24 ชั่วโมง
ข้อควรระวังการใช้ ‘น้ำตาเทียม’
ในกรณีที่ต้องหยอดน้ำตาเทียมร่วมกับยาหยอดตาอื่นๆ แนะนำให้หยอดน้ำตาเทียมเป็นชนิดสุดท้าย โดยควรเว้นระยะเวลาหยอดห่างจากยาหยอดตาชนิดอื่นเป็นเวลาอย่างน้อย 5 นาที และไม่ควรใช้น้ำตาเทียมร่วมกับผู้อื่น
นอกจากนี้ในกรณีที่ใช้น้ำตาเทียมที่เป็นแบบเจลหรือขี้ผึ้ง ซึ่งมีความหนืดมาก อาจทำให้เกิดอาการตามัวได้ แต่มักเป็นเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามควรหลับตาสักพักหลังการหยอดหรือป้ายน้ำตาเทียมทุกครั้ง
น้ำตาเทียมที่ยังไม่เปิดใช้หรือที่เปิดใช้แล้วสามารถเก็บได้โดยไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้เย็น แต่หลังจากเปิดใช้แล้ว
หากผลิตภัณฑ์น้ำตาเทียมนั้นไม่มีสารกันเสียเป็นส่วนประกอบ ควรใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมงนับจากเวลาที่เปิดใช้ ทั้งนี้หากเกิน 24 ชั่วโมงไปแล้วยังมีน้ำตาเทียมเหลืออยู่ ควรทิ้งน้ำตาเทียมหลอดนั้นไปเลย
หรือถ้าไม่แน่ใจว่าได้เปิดใช้เมื่อใด ก็ไม่ควรเก็บน้ำตาเทียมหลอดนั้นมาใช้อีก ในขณะที่น้ำตาเทียมชนิดที่มีการใส่สารกันเสีย หลังจากเปิดใช้ผลิตภัณฑ์แล้วสามารถเก็บได้นานถึง 1 เดือนนับจากวันที่เปิด
อย่างไรก็ตามก่อนใช้น้ำตาเทียมควรสังเกตว่าน้ำตาเทียมมีลักษณะที่เปลี่ยนไปหรือไม่ เช่น มีสีเกิดขึ้น หรือเปลี่ยนจากน้ำใสไปเป็นน้ำขุ่นหรืเปล่า หากพบเหตุการณ์เช่นนี้ก็ควรทิ้งน้ำตาเทียมหลอดนั้นไป
ถึงแม้น้ำตาเทียมจะช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่กระจกตาและเยื่อบุตาได้ก็ตาม แต่การป้องกันดวงตาคู่สวยของคุณด้วยการใช้สายตาที่ถูกสุขลักษณะ ถูกวิธี รวมทั้งการเสริมด้วยอาหารที่บำรุงสายตาเช่น ลูทีน วิตามินเอ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อยู่เสมอต่างหาก.. ที่เป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุด..
บทความน่าสนใจ
- ปกป้องดวงตาและบำรุงสายตาด้วย Target
- วุ้นตาเสื่อมเสี่ยงตาบอด!!
- มือถือและคอมพิวเตอร์ ส่งผลเสียต่อ ‘สายตา’ อย่างไร
- ‘เบาหวาน’ขึ้นจอประสาทตา อย่าประมาท