เพราะเข้าใจผิดๆ ทำให้ ‘น้ำหนักไม่ลด’
ความเชื่อหลายๆ อย่าง มักจะสวนทางกับความจริง ในเรื่องการลดน้ำหนักก็เช่นกัน มีความเชื่อหลายอย่างที่เป็นเรื่องบอกต่อๆกันมา แต่เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง
ซึ่งก็ไม่แปลกที่พยายามลดความอ้วนแทบตาย แต่ น้ำหนักไม่ลด ไม่ผอมลงเลย!!
ความอ้วนกับกรรมพันธุ์
เราจะสังเกตเห็นว่าครอบครัวที่พ่อแม่อ้วน ลูกๆมักจะอ้วนตามไปด้วย เลยทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคนอ้วนเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์
ความเข้าใจนี้ถูกต้องแต่ไม่ทั้งหมด เพราะว่าทางการแพทย์บอกเอาไว้ว่า กรรมพันธุ์ (พันธุกรรม) มีผลต่อเรื่องของน้ำหนักตัวเพียงแค่ 30% เท่านั้น เช่น อาจจะมีผลในเรื่องของการเผาผลาญที่น้อยกว่าปกติ
หรือบางครอบครัวมีโรคประจำตระกูลที่เป็นแล้วทำให้อ้วนง่าย (เช่นไทรอยด์) แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าพ่อแม่อ้วน แล้วลูกจะต้องอ้วนตามแน่นอน 100% เพราะเราคงเห็นหลายๆครอบครัวที่พ่อแม่อ้วนแต่ลูกผอม หรือพ่อแม่ผอมแต่ลูกอ้วนก็มี..
สิ่งที่น่ากลัวในกรณีที่พ่อแม่หรือพี่น้องของเราอ้วน ไม่ใช่กรรมพันธุ์ แต่เป็นนิสัยต่างหาก เหตุที่พ่อแม่อ้วนก็เพราะพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมชอบทานอาหารที่ให้พลังงานมากและออกกำลังกายน้อย
เมื่อพ่อแม่มีพฤติกรรมแบบไหน ลูกๆ ก็มักจะมีพฤติกรรมแบบนั้นตาม
ซึ่งพฤติกรรมที่ถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กก็จะกลายเป็นนิสัยติดตัว พ่อแม่ที่อ้วนจึงมักจะมีลูกที่อ้วนเพราะติดนิสัยที่ทำให้อ้วน แต่หากลูกไม้หล่นไกลต้น ไม่มีนิสัยแบบพ่อแม่
หรือพยายามเปลี่ยนแปลงให้มีพฤติกรรมที่เหมาะสม คนที่มีพ่อแม่ที่อ้วนก็สามารถผอมได้เช่นกัน..
เด็กอ้วนๆ ดีแล้ว
คนที่เป็นพ่อแม่นั้น มักจะห่วงว่าลูกตัวเองว่าจะได้สารอาหารไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต จึงพยายามที่จะให้ลูกได้กินเต็มที่ อะไรที่บำรุงได้ก็ซื้อมาให้ทาน แล้วพอลูกน้ำหนักตัวเริ่มเกินมาตรฐานก็คิดว่าไม่เป็นไร เด็กอ้วนดูน่ารักดีเดี๋ยวโตมาก็ผอมเอง ?
ความคิดนี้เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ทีเดียว เพราะพฤติกรรมการกินแบบผิดๆ จะปลูกฝังในตัวเด็กจนเป็นนิสัย ซึ่งจะยิ่งเปลี่ยนแปลงยากเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
และผู้ใหญ่ที่เริ่มอายุมากขึ้นจะมีกิจกรรมน้อยลง มีการเผาผลาญพลังงานน้อยลง สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กที่อ้วน เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะลดน้ำหนักลงได้ยากกว่าตอนที่เป็นเด็ก
ข้อมูลทางการแพทย์บอกว่า เด็กที่อ้วนจะมีแนวโน้มค่อนข้างมากที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่อ้วน
และอย่าลืมว่าเด็กอ้วนมีโอกาสจะถูกเพื่อนล้อเรื่องรูปร่างค่อนข้างมาก จึงทำให้ไม่อยากเข้าสังคม ขาดความมั่นใจในตนเอง ซึ่งนิสัยเหล่านี้อาจจะถูกปลูกฝังไปจนเขาโตได้เช่นกัน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เด็กที่อ้วนมีโอกาสจะเป็นโรคที่เราคิดไม่ถึงว่าเด็กจะเป็นได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคไต หรือแม้แต่โรคมะเร็ง
ฉะนั้นหากวันนี้เรามีลูกหลานที่ยังเด็ก แต่เริ่มอ้วนเกินมาตรฐานแล้ว ก็ควรจะให้เขาเริ่มลดน้ำหนักในวันนี้ เพราะไม้อ่อนดัดง่ายแต่ไม้แก่ดัดยาก
และการลดน้ำหนักตั้งแต่วันนี้ จะเป็นการป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเขาในอนาคตได้ จึงเป็นความหวังดีที่ถูกต้องและเหมาะสมต่างหาก…
ลดสัดส่วนที่ต้องการ
คนบางคนอาจจะมีสัดส่วนเกินเพียงแค่บางส่วน ไม่ได้ต้องการลดน้ำหนักทั้งตัว จึงมองหาวิธีการที่จะลดน้ำหนักเฉพาะส่วน เช่น ออกกำลังเฉพาะส่วน ทาครีมเฉพาะส่วน
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่สามารถลดน้ำหนักเฉพาะส่วนได้ เพราะร่างกายจะดึงไขมันมาใช้ตามลำดับ โดยเราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงลำดับได้
ไขมันในร่างกายเราจะเป็นลักษณะเข้าก่อนออกทีหลัง นั่นคือไขมันจะสะสมที่หน้าท้องก่อน แล้วสะสมที่ต้นขา หลัง คาง และใบหน้าตามลำดับ แต่เวลาร่างกายดึงไขมันมาใช้จะเริ่มดึงจาก ใบหน้า คาง หลัง ต้นขา และหน้าท้องตามลำดับเช่นกัน
หากเราซิทอัพเพื่อลดหน้าท้อง ปั่นจักรยานอากาศเพื่อลดต้นขา การกระทำแบบนั้นจะช่วยกระชับได้เล็กน้อย แต่ไขมันแทบจะไม่ได้ลดลงเลย
ตรงกันข้าม หากเราออกกำลังกายเฉพาะส่วนมากเกินไป อาจทำให้อวัยวะส่วนนั้นมีกล้ามเนื้อมากขึ้น กลายเป็นว่าอวัยวะส่วนนั้นมีไขมันและกล้ามเนื้อมาก แทนที่เราจะได้รูปร่างที่ดี กลับได้รูปร่างที่ดูล่ำบึก แบบอ้วนท้วมไปแทน
ในทางปฏิบัติ หากเราต้องการลดสัดส่วน เราก็ต้องลดน้ำหนักตามปกติ แล้วสัดส่วนจะลดลงเอง แต่หากต้องการจะลดเฉพาะส่วน ทางการแพทย์บอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้
นอนน้อยกับนอนมาก
บางคนเข้าใจว่าการที่เรานอนน้อยลงจะทำให้มีช่วงเวลาที่ร่างกายตื่นมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายเราเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และช่วยให้เราลดน้ำหนักได้มากขึ้น
ความเข้าใจนี้ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว เพราะหากเรานอนกลางวัน ร่างกายเราจะเผาผลาญพลังงานน้อยลง เราจึงไม่ควรนอนกลางวัน
แต่การนอนในตอนกลางคืนกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น อเมริกาได้ทำการวิจัยแล้วพบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 4 ชั่วโมงมีโอกาสเป็นโรคอ้วนมากขึ้นถึง 73 เปอร์เซ็นต์
คนที่นอน 5 ชั่วโมงจะมีโอกาสเป็นโรคอ้วนมากขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนที่นอนวันละ 6 ชั่วโมงจะมีโอกาสเป็นโรคอ้วนมากขึ้น 23 เปอร์เซ็นต์
โดยได้อธิบายว่า การนอนน้อยทำให้ร่างกายมีระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป ซึ่งไปกระตุ้นให้ร่างกายของเราอยากทานอาหารมากขึ้นและสะสมไขมันเพิ่มขึ้น รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมนอนหลับให้เพียงพอวันละประมาณ 8 ชั่วโมงจะได้อ้วนยากขึ้น
low Sugar , low fat
คนส่วนใหญ่จะถูกคำสองคำนี้หลอก โดยคิดว่าหากทานอะไรก็ตามที่ low Sugar น้ำตาลน้อย หรือ low fat ไขมันน้อย แล้วจะไม่อ้วน
แต่ความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าเราจะดื่มเครื่องดื่มหรือทานอาหารที่ low Sugar , low fat แต่ถ้าทั้งวันเราได้พลังงานจากอาหารที่ทานมากกว่าพลังงานที่ร่างกายเราใช้เราก็จะอ้วนขึ้นอยู่ดี
น้ำตาลเทียม เครื่องดื่ม 0 แคลอรี
ในปัจจุบันได้มีการใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมากมายซึ่งผลดีก็คือ การที่เครื่องดื่มเหล่านี้ให้พลังงานน้อยมากหรือไม่ให้พลังงานเลย ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ชอบทานอาหารหวานแต่ต้องการลดน้ำหนัก
แต่สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจก็คือ แม้ว่าเราจะใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาล แต่หากทั้งวันเราได้พลังงานจากอาหารที่ทานมากกว่าพลังงานที่เราใช้ เราก็อ้วนขึ้นได้อยู่ดี
งดคาร์โบไฮเดรต ลดไขมัน ถึงจะผอม
ความเข้าใจที่ถูกต้องก็คือ หากเราทานอาหารที่มีไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตทั้ง 3 มื้อ แต่พลังงานจากอาหารที่เราทานน้อยกว่าพลังงานที่เราใช้ เราก็สามารถลดน้ำหนักลงได้เช่นกัน
เช่น หากเราทานข้าวผัดอเมริกันมื้อละครึ่งจานวันละ 3 มื้อ เราก็จะได้พลังงาน 1185 กิโลแคลอรี หากร่างกายเราเผาผลาญพลังงานวันละ 2000 kcal เราก็ยังสามารถลดน้ำหนักลงได้เดือนละประมาณ 3 กิโลกรัม เพราะพลังงานที่ได้จากอาหารที่ทานน้อยกว่าพลังงานที่เราใช้
ในทางตรงกันข้าม หากเราไม่ทานไขมันหรือคาร์โบไฮเดรตเลย แต่เราได้พลังงานจากอาหารที่ทานมากกว่าพลังงานที่เราใช้ในแต่ละวัน น้ำหนักเราก็สามารถเพิ่มได้เช่นกัน
กินสลัดไม่อ้วนหรอก
คนส่วนใหญ่เวลาทานสลัดก็จะต้องใส่น้ำสลัดไปด้วย ซึ่งน้ำสลัดให้พลังงานสูงมากๆ เพียง 2-3 ช้อนชาก็ให้พลังงานประมาณ 100 kcal ในสลัด 1 จานที่เราทานเมื่อใส่น้ำสลัดเราอาจจะได้พลังงานสูงถึง 400 ถึง 500 kcal ซึ่งก็เพราะพอๆกับทานอาหารปกติ 1 จานเลยทีเดียว
สลัดที่ทานแล้วช่วยให้ลดน้ำหนักได้ง่าย จะต้องเป็นสลัดที่มีแต่ผักและผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำมีใยอาหารสูงเท่านั้น แต่ข้อเสียของการทานสลัดที่มีแต่ผักเพื่อลดน้ำหนักก็คือ เราจะได้โปรตีนน้อยเกินไปและได้พลังงานต่ำเกินไป
ทำให้กลายเป็นการลดน้ำหนักที่ไม่กระชับและทำให้ร่างกายเผาผลาญน้อยลง ซึ่งทำให้เกิดโยโย่ขึ้นได้
และบางคนทานสลัดแล้วไม่อยู่ท้องต้องหาอย่างอื่นทานอีก ซึ่งก็ทำให้ไม่สามารถลดน้ำหนักลงได้ และอาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน
กินผลไม้ไม่อ้วนหรอก !
จากความเข้าใจที่ผ่านมาคงทำให้เราตอบคำถามนี้ได้แล้วว่า แม้ว่าเราทานผลไม้แต่เราได้พลังงานจากอาหารที่ทานน้อยกว่าพลังงานที่เราใช้ในแต่ละวัน เราก็สามารถลดน้ำหนักลงได้
และเช่นกันเมื่อเราทานผลไม้แล้วเราได้พลังงานจากอาหารที่ทานมากกว่าพลังงานที่เราใช้ในแต่ละวัน น้ำหนักเราก็สามารถเพิ่มขึ้นได้
ดื่มพวกเครื่องดื่มไม่เป็นไร !
ในความเป็นจริงแล้วเครื่องดื่มหลายๆ ชนิด ให้พลังงานสูงอย่างที่เราคาดไม่ถึง เช่น นมรสหวาน 1 กล่องให้พลังงานประมาณ 250 kcal หากดื่มวันละ 1 ลิตรก็จะได้พลังงานประมาณ 1000 kcal เลยทีเดียว
ซึ่งเป็นพลังงานที่พอๆ กับไปทานพิซซ่า (นม 1 ลิตรทำให้น้ำหนักเพิ่มได้เดือนละ 3-4 กิโลกรัม)
ส่วนเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ หรือน้ำผลไม้ เช่น ชาเขียว ชามะนาว ชาเย็น กาแฟเย็น น้ำส้มคั้น น้ำฝรั่ง น้ำอ้อย อาจจะให้พลังงานมากถึง 250-300 kcal ต่อแก้วเลยทีเดียว
ใครดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้วันละ 1-2 แก้ว ก็แทบจะไม่ต่างจากคนที่ทานข้าวเพิ่มวันละ 1 มื้อ (ดื่มเพิ่มวันละ 1 แก้วทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้เดือนละ 2-3 กิโลกรัม)
แอลกอฮอล์ส่วนใหญ่จะมีพลังงานในตัวเพราะทำจากพืช (เช่นยอดข้าว) เบียร์จึงให้พลังงานแก้วละประมาณ 150 kcal เหล้าเพียวๆ 60 ซีซีให้พลังงานประมาณ 100 ถึง 150 kcal (ผสมกับน้ำอัดลมให้พลังงานประมาณ 200 ถึง 300 กิโลแคลอรี)
คนทานแอลกอฮอล์จึงมักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก
ทางเลือกที่ถูกต้องของคนที่ต้องการลดน้ำหนักก็คือ พยายามดื่มเครื่องดื่มทุกชนิดให้น้อยที่สุด(ไม่ดื่มได้ยิ่งดี) และพยายามดื่มน้ำเปล่าให้มากที่สุด
ควบคุมแคลอรี ไม่ใช่ควบคุมอาหาร
ไม่ว่าเราจะทานอาหารอะไรก็ตามแล้วได้พลังงานน้อยกว่าพลังงานที่เราใช้ น้ำหนักของเราก็จะลดลง ขณะที่เรากินอาหารอะไรก็ตามแล้วได้พลังงานพอๆกับพลังงานที่เราใช้ น้ำหนักก็จะคงที่
และไม่ว่าเราจะกินอาหารอะไรก็ตามแล้วได้พลังงานมากกว่าที่เราใช้ น้ำหนักของเราก็จะเพิ่มขึ้น…
การปรับความเข้าใจที่ผิดๆเรื่องลดน้ำหนักเป็นสิ่งจำเป็น และทั้งหมดที่ว่ามานี้..ทำให้เราสามารถสรุปได้ว่า หากเราต้องการลดน้ำหนัก
“สิ่งที่เราต้องควบคุมไม่ใช่เรื่องการควบคุมอาหาร แต่เป็นการควบคุมแคลอรี (พลังงาน)ของอาหารที่กิน” ต่างหาก
บทความที่น่าสนใจ