FAQ, ป้องกันมะเร็งผิวหนัง

มะเร็งผิวหนัง…ภัยร้ายจากแสงแดด

%e0%b8%a0%e0%b8%b1%e0%b8%a2%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%a1%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%87%e0%b8%9c%e0%b8%b4%e0%b8%a7%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%87

ความจริงแล้วแสงแดดมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีิวต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ สัตว์และพืชพันธุ์

ซึ่งการได้รับแสงแดดในปริมาณน้อยๆจะมีผลดีในการกระตุ้นให้ผิวหนังสร้างวิตามินดี ซึ่งดีต่อสุขภาพในการสร้างกระดูกให้แข็งแรง

แต่การที่ผิวหนังของเราสัมผัสกับแสงแดดจ้าโดยตรงเป็นระยะเวลานานหรือถูกแสงแดดแผดเผามากๆ รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดก็จะทำให้เกิดความเสียหายของเซลล์ผิวหนังได้

ซึ่งส่งผลให้เกิดเป็นโรคที่เกิดจากแสงแดดได้ ดังนี้

1. กระ และ ฝ้า (Freckles and Melasma) 

มีสาเหตุจากการที่รังสียูวีบีไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีเมลาโนไซต์(Melanocyte) ให้ผลิตเม็ดสีเมลานิน(Melanin) ซึ่งอยู่ในผิวหนังชั้นนอกส่วนล่าง(Epidermis) ให้ทำงานมากผิดปกติ เมื่อมีเมลานินมากขึ้น ผิวก็จะยิ่งมีสีเข้มขึ้น เมื่อมองดูจากผิวหนังด้านบนจึงเห็นผิวหนังมีสีไม่เท่ากัน

ซึ่งแยกออกเป็น 2 ชนิด ตามลักษณะดังนี้

  • กระ มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลหรือสีดำ มักมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซม. พบได้บริเวณใบหน้าและผิวหนังส่วนต่างๆ ที่โดนแสงแดดเป็นประจำ โดยทั่วไปแล้วเกิดขึ้นตั้งแต่ในช่วงวัยเด็ก เป็นกรรมพันธุ์ในครอบครัว พบมากในคนผิวขาว และจะมีปริมาณและสีที่เข้มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นหรือถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด
  • ฝ้า มีลักษณะเป็นแผ่นสีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลเข้ม พบได้บริเวณใบหน้าตรงโหนกแก้ม หน้าผาก จมูก และเป็นกับผูหญิงมากกว่าผู้ชาย แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ ฝ้าตื้นหรือฝ้าแดด เกิดจากแสงแดด ฝ้าลึก เกิดจากฮอร์โมนหรือสารเคมี และฝ้าผสมเกิดจากการเป็นฝ้าทั้งสองชนิดซ้อนทับกัน

2. รอยเหี่ยวย่น (Wrinkle)

แสงแดดเป็นอนุมูลอิสระ รังสียูวีจากแสงแดดไปทำลายคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวขาดความเต่งตึง เกิดการหย่อนคล้อย นอกจากนี้รังสียูวียังไปทำลายอีลาสติน ซึ่งเป็นเส้นใยโปรตีนที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นถูกทำลาย เป็นเหตุให้ผิวไม่กระชับ เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นขึ้น เห็นเป็นตีนกา ตามใบหน้าและรอบดวงตา

3. ผื่นแพ้แดด (Photodermatitis)

เป็นลักษณะของผื่นแพ้สัมผัส(Allergic Contact Dermatitis) เมื่อผิวหนังสัมผัสกับสารชนิดหนึ่งแล้วโดนแสงแดด จนเกิดกฏิกิริยาการแพ้ในการสัมผัสกับแสงแดด ก่อให้เกิดผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบขึ้นมาทันที อาการผื่นแพ้แดดที่เกิดขึ้นคือ บวม แสบร้อนที่ผิวหนัง มีผื่นแดงขึ้น อาจมีตุ่มน้ำเล็กๆใสๆขึ้นด้วย

4. ผิวไหม้จากแสงแดด (Sun Burn)

แม้ว่าแสงแดดสามารถให้ความอบอุ่นเราได้ แต่ถ้าเราอยู่ในที่แจ้ง ได้รับแสงแดดที่ร้อนมากและเป็นระยะเวลายาวนานโดยขาดความระมัดระวัง ก็จะทำให้ผิวหนังบริเวณที่สัมผัสแสงแดดร้อนมากขึ้น จนเกิดอาการผิวไหม้ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ

ระดับ 1 มีการอักเสบเล็กน้อย มีอาการแดงหรือรู้สึกว่าคันที่ผิวหนัง

ระดับ 2 ผิวปวดแสบร้อนและมีลักษณะบวมแดง วันต่อๆมาผิวหนังบริเวณนั้นจะลอกออกเป็นขุย

ระดับ 3 ผิวผุพองเหมือนโดยน้ำร้อนลวก เมื่อแตกออกจะเกิดแผลทำให้ติดเชื้อและอาจทำให้เกิดแผลเป็นได้

ป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังด้วยครีมกันแดดคุณภาพดี

 5. โรคต้อกระจก (Cataract)

ตาของมนุษย์ไม่เพียงแต่ได้รับแสงที่ส่งมาจากดวงอาทิตย์โดยตรงเท่านั้น แต่ยังได้รับแสงจากการตกกระทบด้วย แสงแดดเป็นอันตรายต่อกระจกตาและเลนส์แก้วตา หากตาได้รับรังสีอุลตราไวโอเลตโดยที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน ก็จะเป็นอันตรายต่อดวงตาเกิดโรคต้อกระจกขึ้นได้

6. โรคลมแดด (Heat Stroke)

เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับความร้อนมากเกินไป จนทำให้ความร้อนในร่างกายสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส แสงแดดและความร้อนทำให้ร่างกายขาดน้ำ ทำให้เป็นลมแดดหรือตะคริวแดด พบบ่อยในผู้สูงอายุและมีโรคเรื้อรัง ทั้งยังเกิดขึ้นจากการออกกำลังที่หักโหมเกินไปในกลุ่มผู้ใช้แรงงานและนักกีฬา โดยมีอาการเมื่อยล้า อ่อนเพลีย คลื่นไส้ หน้ามืด เป็นลม

7. โรคลูปัส (Systemic lupus erythematosus, SLE)

โรค SLE หรือโรคพุ่มพวง เป็นโรคภูมิต้านทานตนเองทำลายเนื้อเยื่อตัวเอง ส่งผลร้ายต่ออวัยวะต่างๆในร่างกายของผู้ป่วย ซึ่งเมื่อสัมผัสแสงแดดจะเกิดผื่นแดง บวมได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้มและดั้งจมูก

และท้ายที่สุดก็คือ

8. มะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer)

หากผิวหนังสัมผัสแสงแดดที่ร้อนเป็นประจำโดยไม่ได้ป้องกันผิวหนังบริเวณนั้นอาจเกิดความผิดปกติขึ้น ทำให้กลายไปเป็น มะเร็งผิวหนัง ได้ โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นไฝ

มะเร็งผิวหนัง มี 3 ชนิดดังนี้

  • มะเร็งผิวหนังชนิดเบซัลเซลล์ Basal cell carcinoma เป็นมะเร็งผิวหนังชนิดที่พบมากที่สุด มีลักษณะเป็นตุ่มหรือแผ่นสีเนื้อผิวมันๆ มันจะรักษาหายถ้าตรวจพบและรักษาอย่างทันท่วงที
  • มะเร็งผิวหนังชนิดสเควมัสเซลล์ Squamous cell carcinoma มีลักษณะเป็นก้อนแข็งสีแดง หรือแผ่นเป็นเกล็ด หรือเป็นแผ่นขรุขระ
  • มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา Malignant melanoma เป็นมะเร็งผิวหนังชนิดที่พบไม่บ่อยแต่มักจะรุนแรงและแพร่กระจายได้ เริ่มแรกมีลักษณะคล้ายไฝดำแล้วแปรสภาพเป็นเนื้อร้าย จึงมักเรียกกันว่า “มะเร็งไฝดำ”

ซึ่งในปัจจุบันพบว่าคนเป็นมะเร็งผิวหนังเพิ่มมากขึ้นและคนที่เคยเป็นมะเร็งผิวหนัง มักมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งอย่างอื่นเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังคือ

(1) โดนแดดมากเกินไปและอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีการป้องกันแสงแดดเลย เช่น ไม่สวมหมวก,เสื้อคลุม,ทาครีมกันแดด,กางร่ม ฯลฯ

(2) คนที่มีผิวขาว ก็มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนังมากกว่าคนที่มีผิวคล้ำหรือผิวดำ

(3) คนที่มีผิวหนังบอบบาง ผิวหนังเกิดอาการไหม้ได้ง่ายเมื่อโดนแดดแผดเผา

(4) คนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น คนที่ต้องกินยากดภูมิต้านทานเป็นปกติ , ผู้ป่วยโรคเอดส์ เป็นต้น

ซึ่งจะเป็นการดีถ้าเราหาหนทางป้องกันภัยจากแสงแดด เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งผิวหนัง เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วค่อยทำการรักษา ก็จะยิ่งทำให้เสียเวลาและเงินทองในการรักษาจำนวนมาก

โดยกระบวนการรักษาทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็น การผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก การใช้เลเซอร์,การฉายรังสี,การใช้เคมีบำบัด ฯลฯ ซึ่งนำมาซึ่งค่ารักษามากมายและในรายที่ลุกลามรุนแรงก็อาจจะเสียชีวิตได้

วิธีการป้องกันแสงแดด

  • หลีกเลี่ยงแสงแดดตอนกลางวัน เนื่องจากเป็นแดดที่มีความแรงที่สุด
  • ใช้ครีมกันแดดอยู่เสมอ โดยควรใช้ครีมกันแดดที่มีความสามารถในการกรองแสงแดดมากขนาดตั้งแต่ SPF 15 ขึ้นไป และใช้ในปริมาณที่มากเพียงพอ
  • ควรสวมใส่เสื้อผ้าสีเข้มเมื่อต้องอยู่กลางแดด และสวมหมวกปีกกว้าง ใส่แว่นกันแดด เพื่อป้องกันใบหน้า ลำคอ ดวงตาและร่างกายจากแสงแดด
  • ระมัดระวังในการทานยา เพราะการทานยาบางชนิดทำให้ผิวหนังมีความไวต่อแสงแดด

ซึ่งทางเลือกที่ง่ายที่สุดนอกจากการหลีกเลี่ยงการรับแสงแดดโดยตรง ก็คือการใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูงพอในการปกป้องผิวของเรา โดยเฉพาะครีมกันแดดที่มีสารซิงค์ออกไซด์ (zinc oxide) และไทเทเนียมออกไซด์ (titanium oxide) เป็นส่วนประกอบ

โดยควรจะเลือกใช้ครีมที่มี SPF ที่สูง แต่ไม่ควรสูงเกิน SPF 50 โดยนอกจากแสงแดดจะทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังแล้วยังทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นได้และภูมิต้านทานลดลงอีกด้วย และสิ่งที่สำคัญมากคือการปกป้องเด็กเล็กจากแสงแดด

เนื่องจากดีเอ็นเอเด็กเล็กมีความเสี่ยงที่จะเสียหายจากรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดดมากกว่าเด็กโตหรือผู้ใหญ่ แม้ว่าคนเราจะมีความสามารถในการซ่อมแซมความเสียหายจากแสงแดดได้ดีถึง 99.99% แต่บางครั้งจะมีเซลล์ที่เล็ดลอดไปและเปลี่ยนเป็นมะเร็งได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรพึ่งพิงครีมกันแดดมากเกินไปไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 หรือมากกว่า หลายคนเข้าใจผิดว่าการใช้ครีมกันแดดที่มาค่า SPFมากๆเช่น SPF 70 หรือ SPF100 จะมีฤทธิ์ป้องกันแสงแดดได้มากขึ้น

แต่ที่จริงแล้ว SPFที่มากกว่า 50 ไม่ได้เพิ่มการป้องกันมากขึ้นเลย ขณะที่ครีมกันแดดที่มีสารซิงค์ออกไซด์และไทเทเนียมออกไซด์ผสมอยู่มีประสิทธิภาพในการป้องกันแดดได้ดี

ดังนั้นคนที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งจึงควรป้องกันไว้ด้วยครีมกันแดด และเลือกออกแดดเพื่อรับวิตามินดีในช่วงแดดอ่อนยามเช้าแทนการออกแดดในช่วงเที่ยงวัน แค่นี้เราก็สามารถลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังแล้ว

บทความที่น่าสนใจ

error: do not copy content!!