FAQ, ภูมิคุ้มกัน ทำงานสุดเจ๋ง

ภูมิคุ้มกัน..เกราะป้องกันของมนุษย์

%e0%b8%a0%e0%b8%b9%e0%b8%a1%e0%b8%b4%e0%b8%84%e0%b8%b8%e0%b9%89%e0%b8%a1%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99-immunity

ภูมิคุ้มกัน ทำงานสุดเจ๋ง !

เราทุกคนรู้ดีว่าในตัวเราแต่ละคนมีเกราะป้องกันที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกัน” อยู่ แต่ทราบไหมว่าระบบภูมิคุ้มกันนั้นทำงานอย่างเป็นระบบและมหัศจรรย์แค่ไหน?

สิ่งแวดล้อมรอบตัวเราทั้งภายในและภายนอกร่างกายเต็มไปด้วยจุลินทรีย์ขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ส่วนใหญ่จุลินทรีย์เหล่านี้ไม่ใช่เชื้อก่อโรค

แต่ก็มีจุลินทรีย์อีกมากมายที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อหรือที่เรียกว่า “เชื้อโรค” และเพื่อป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคนี้ ร่างกายของเราจึงมีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง ปลอดภัยจากเชื้อโรคตัวร้าย

เชื้อโรคทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านทางผิวหนัง ทางปาก จมูก หรือตา โดยเมื่อเชื้อโรคได้สัมผัสกับอวัยวะต่างๆข้างต้น

ร่างกายจะมีกลไกช่วยป้องกันเชื้อโรคเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกาย เช่น ผิวหนังที่มีความหนาซึ่งยากต่อการชอนไชของเชื้อโรคพร้อมทั้งหลั่งเหงื่อออกมาเพื่อช่วยชะล้างเชื้อโรคออกไปด้วย

ส่วนในระบบทางเดินหายใจ เช่น หลอดลม จะมีอวัยวะที่เป็นขนเล็กๆ หรือเซลล์พัดโบกที่เรียกว่า ซีเลีย (Cilia) คอยดักจับและพัดโบกเชื้อโรค จึงทำให้เรารู้สึกอยากไอหรือจามออกมาทุกครั้งเมื่อมีเชื้อโรคเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ

ขณะที่ในกระเพาะอาหารก็มีการหลั่งกรดที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคหากเราพลั้งเผลอรับประทานอาหารที่ไม่สะอาดเข้าไป อย่างไรก็ดีหากโครงสร้างของร่างกายเหล่านี้ผิดปกติไป เช่น ผิวหนังถลอกหรือเกิดแผลเมื่อนั้นเชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่าย

มาสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับร่างกาย ด้วยอาหารเสริมเพิ่มภูมิคุ้มกัน

สัญญานของการอักเสบ

มนุษย์เรามักตกใจกลัวทุกครั้ง เมื่อสังเกตเห็นการอักเสบเกิดขึ้นในร่างกาย เช่น ผิวหนังบวมแดงร้อนเมื่อเกิดแผล แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณเริ่มต้นที่เกิดการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายขึ้น

สาเหตุที่ผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีอาการบวมแดงอย่างชัดเจนเนื่องจากหลอดเลือดบริเวณนั้น มีการขยายตัวเพื่อให้เลือดมาเลี้ยงมากขึ้น และนำพาเซลล์ที่มีหน้าที่กำจัดเชื้อโรคมาที่บริเวณนั้นด้วย

ฉะนั้นถ้าภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ขึ้นมาล่ะก็ต่อให้ยาปฏิชีวนะที่ดีเลิศแค่ไหน ก็รักษาชีวิตคนเราไว้ไม่ได้ เพราะการที่จะหายจากโรคติดเชื้อได้นั้น “ภูมิคุ้มกันในร่างกายนี่แหล่ะ..คือพระเอกตัวสำคัญ”

        ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system)  คือระบบที่คอยปกป้องร่างกายของเราจากสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้ามาทำอันตรายเราได้เช่น เชื้อโรคต่างๆ แบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต เชื้อรา รวมทั้งสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ

เช่น เซลล์ที่กำลังเติบโตไปเป็นมะเร็ง ,อวัยวะของผู้อื่นที่ปลูกถ่ายเข้ามาในร่างกาย ,การรับเลือดผิดหมู่ สิ่งต่างๆเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายยังไม่รู้จักเรียกว่า “แอนติเจน

ศัตรูตัวร้าย คู่ปรับ ระบบภูมิคุ้มกัน

(1) แบคทีเรีย (Bacteria)

โลกใบนี้มีแบคทีเรียอาศัยอยู่ทั่วไปมากมาย ,ในดิน 1 กรัม จะพบแบคทีเรียที่มีชีวิตอาศัยอยู่มากกว่า 40 ล้านตัว ,ส่วนในน้ำ 1 ซีซีมีแบคทีเรียอยู่กว่าล้านตัว

แบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ามหัศจรรย์มาก มันมีชีวิตและดำรงเผ่าพันธุ์ได้ด้วยการแบ่งตัว แบคทีเรียจำพวกหนึ่งต้องพึ่งพาร่างกาย สิ่งมีชีวิตอื่นในการดำรงชีพ, ส่วนอีกพวกหนึ่งสามารถอยู่ได้เองอย่างอิสระ

แบคทีเรียบางชนิดอาศัยอยู่ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตอย่างเป็นมิตร(ให้ผลดี) เช่น แบคทีเรียในทางเดินอาหารมีหน้าที่เป็นเจ้าถิ่น คอยจับกินแบคทีเรียแปลกปลอมจากภายนอกที่เข้ามา

ส่วนแบคทีเรียบางชนิดก่อให้เกิดโรคและทำอันตรายร่างกายมนุษย์  โดยการผลิตสารพิษออกมา เช่น เชื้อสเตรปโตคอคคัส (Streptococcus) ทำให้ช่องคลอดอักเสบหรือปอดอักเสบได้..

(2) ไวรัส

ไวรัสเป็นคำที่มาจากภาษาละตินแปลว่า พิษ ไวรัสมีขนาดเล็กมากกว่าแบคทีเรียถึง 100 เท่า ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ไวรัสจะมีความรุนแรงดุร้ายมากกว่าแบคทีเรียหลายเท่า

อย่างไรก็ดีตัวไวรัสเองไม่สามารถดำรงชีพได้อย่างอิสระ มันต้องอาศัยเซลล์ของสิ่งมีชีวิตในการเจริญเติบโตและแบ่งจำนวน เมื่อแบ่งจำนวนได้มากขึ้น ไวรัสจะทำตัวเป็นดั่งปรสิตและทำลายเจ้าบ้านในที่สุด

วิธีเพิ่มภูมิคุ้มกันด้วยเบต้ากลูแคน

ภูมิคุ้มกัน หรือ เกราะป้องกันของร่างกาย

การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันประกอบด้วยเซลล์มากมายที่ทำหน้าที่สอดคล้องประสานกันเป็นระบบอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งภูมิคุ้มกันแบ่งกว้างๆได้  2 ชนิดคือ

1. Innate immunity

เป็นระบบภูมิคุ้มกันที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เช่น พื้นผิวที่สัมผัสแอนติเจนโดยตรง คือ ผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ ซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะตัวในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือเชื้อโรคออกไปจากร่างกายได้ดังนี้

  • เชื้อโรคไม่สามารถบุกรุกผิวหนังปกติที่ไม่มีบาดแผล อีกทั้งความเป็นกรดของไขมันที่ผลิตออกมาจากต่อมไขมันที่ผิวหนัง ได้แก่ กรดแลคติก และกรดไขมัน จะช่วยยับยั้งและทำลายเชื้อโรคถ้าหากผิวหนังชั้นนอกเปิดออก

เช่น มีบาดแผล หรือไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แบคทีเรียที่อยู่ที่บริเวณผิวหนังก็จะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วเพราะมีอาหารอันอุดมสมบูรณ์และสิ่งแวดล้อมพอเหมาะ ทำให้เกิดการอักเสบเป็นหนองขึ้นมา

หากเป็นแผลเล็กๆ ระบบภูมิคุ้มกันจะกำจัดเชื้อออกไป เพียงแค่ล้างแผลให้สะอาด รักษาแผลให้แห้งก็หายเป็นปกติเองได้ แต่ถ้าเป็นแผลไฟไหม้บริเวณกว้างเกินกำลังที่ภูมิคุ้มกันจะจัดการไหว

เชื้อโรคสามารถแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดและทำให้ช็อกหรือเสียชีวิตได้

  • เยื่อบุหลอดลมมีเซลล์ที่มีขน คอยพัดโบกเชื้อโรคให้ออกไปจากหลอดลม ทั้งยังมีเซลล์ผลิตเสมหะที่เหนียวหนืดไว้คอยดักจับเชื้อโรคคล้ายกาวดักแมลงวัน

เพื่อไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่เยื่อบุหลอดลม คนสูบบุหรี่จัดเซลล์ขนนี้จะเสียหน้าที่ไป จึงทำให้ป่วยด้วยโรคหลอดลมอักเสบบ่อยๆ

  • น้ำมูก  น้ำลาย น้ำตา เป็นสารคัดหลังที่ขับไล่สิ่งแปลกปลอมออกไป ทำหน้าที่ชะล้างเชื้อโรคจากเยื่อบุออกไป ทั้งในสารคัดหลังเหล่านี้ก็ยังมีเอนไซม์ที่มีคุณสมบัติในการย่อยทำลายเชื้อโรคอย่างอ่อนๆอีกด้วย
  • การไอ ก็ช่วยขับไล่สิ่งแปลกปลอมที่เราสําลักเข้าไปในหลอดลมและปอด  หากสิ่งแปลกปลอมทำให้เกิดการระคายเคืองมาก เราก็ยิ่งไอนาน ไอจนกว่าจะหลุดออกมานั่นแหล่ะ

ในผู้สูงอายุระบบต่างๆทำงานเฉื่อยลงรวมถึงการไอด้วย คนแก่จึงเป็นปอดอักเสบจากการสำลักได้บ่อย ในคนที่จมน้ำก็เช่นกัน ถ้าว่ายน้ำธรรมดาสำลักน้ำเพียงเล็กน้อยก็ไม่มีปัญหา สายเสียงและฝาปิดกล่องเสียงจะปิดทันทีเพื่อป้องกันน้ำเข้าไปในหลอดลมเพิ่ม

แต่ในกรณีที่จมน้ำนานจนหมดสติระบบนี้เสียไป น้ำจึงเข้าไปในปอดปริมาณมากและถ้าเป็นน้ำคร่ำที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคนานาชนิดเกินขีดความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันจะจัดการไหว

ในขั้นต้นก็ต้องกระหน่ำยาปฏิชีวนะหลายขนานอีกแรงจึงปลอดภัยจากปอดอักเสบรุนแรงและไม่ติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดจนช็อค

  • ความเป็นกรดของสารคัดหลั่งในช่องคลอดช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
  • ความแรงของกรดในกระเพาะอาหารที่ฆ่าเชื้อโรคแทบไม่เหลือ ยกเว้นเชื้อทนกรดเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น สาธารณสุขจึงประกาศให้กินไก่สุกได้ตอนที่ไข้หวัดนกระบาด

เพราะเชื้อไวรัสนี้แค่ถูกความร้อนสูงก็ตายหมดแล้ว และไม่ก่อโรคระบบทางเดินอาหาร หากหลุดเข้าไปก็ถูกกรดในกระเพาะอาหารฆ่าตายเรียบ

แต่ที่กลัวคือเชื้อเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจโดยการหายใจเอาสารคัดหลังจากเข้าไป หรือมือเปื้อนเชื้อขยี้จมูก ขยี้ตาต่างหาก

นอกจากนี้ความสมดุลของเชื้อโรคนานาชนิดที่อาศัยอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย ยังช่วยป้องกันเชื้อตัวใดตัวหนึ่งเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนมากจนเป็นสาเหตุของโรคอีกด้วย

2. Acquired immunity 

เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นภายหลัง หากเชื้อโรคสามารถฝ่าด่านแรกเข้าสู่ใต้เยื่อบุหรือผิวหนังที่มีบาดแผลได้แล้ว เซลล์ต่างๆของระบบภูมิคุ้มกันจะพยายามกำจัดเชื้อโรคเหล่านี้ให้ออกไปพ้นจากร่างกาย

เซลล์เหล่านี้เจริญเติบโตมาจากสเต็มเซลล์ อันเป็นเซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูก แล้วเติบโตแปรสภาพไปเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ พอโตเต็มที่แล้วจึงออกมาสู่กระแสเลือด

ล่องลอยไปอยู่ตามอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย ตามหน้าที่เฉพาะตัวของมันที่แตกต่างกันไป ซึ่งทำงานสอดคล้องประสานกันเป็นระบบอย่างสามัคคีทีเดียว โดยแบ่งเป็นชนิดต่างๆ ดังนี้

[1] เม็ดเลือดขาวชนิดกรานูโลไซต์ (granulocyte) ส่วนใหญ่อยู่ในกระแสเลือด เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวแรกในการโจมตีเชื้อโรคและเรียกสมัครพรรคพวกมาเพิ่มเติม เพื่อกรูกันมาจัดการกับ แอนติเจนที่เป็นเชื้อโรคโดยการกินแบคทีเรีย ฆ่าปรสิต และจับกินสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้ามา

เมื่อเซลล์เหล่านี้กินแอนติเจน เข้าไปแล้วก็ใช้เอนไซม์ที่อยู่ในเซลล์จัดการย่อยสลายเชื้อโรคจนแปรสภาพเป็นหนอง ถ้าอยู่ในกระแสเลือดก็กลายเป็นซากและถูกกำจัดไป ดังนั้น กรานูโลไซต์ที่ตายแล้วจะมีสภาพเป็นหนองดังที่เราเห็นบนผิวหนัง

กรานูโลไซต์ แบ่งได้เป็น 3 ชนิดตามหน้าที่การทำงาน คือ

  • นิวโทรฟิล (Neutrophil) จับกินเชื้อโรคโดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย
  • อีโอชิโนฟิล (Eosinophil) ตอบสนองต่อพยาธิ
  • เบโซฟิล (Basophil) ตอบสนองต่ออาการแพ้ เช่น ภูมิแพ้

[2] โมโนไซต์ เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ลอยอยู่ในกระแสเลือด โดยมีจำนวนน้อย และทำหน้าที่กินเชื้อโรคในกระแสเลือดและเก็บกินซากที่เกิดจากการทำลายเชื้อโรค

ซึ่งโมโนไซต์จะเปลี่ยนเป็นแมคโครฟาจทันทีเมื่อเข้าสู่เนื้อเยื่อของอวัยวะต่างๆ เช่น ปอด, สมอง, ตับ และไต และพร้อมทำงานจับกินเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม ทั้งนี้แมคโครฟาจมีความแข็งแรงมากกว่ากรานูโลไซต์มาก

[3] Macrophage และ dendritic cell  เป็นโมโนไซต์ที่อยู่ในเนื้อเยื่อ กระจายอยู่ในอวัยวะต่างๆ เมื่อกินแอนติเจนเข้าไปแล้วจะทำหน้าที่เป็น APC ส่งสัญญาณต่อให้เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด  T lymphocyte  มารับหน้าที่ต่อไป

โดยเดรนไดรติกเซลล์ (Dendritic cells) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดพิเศษที่มีแขนขายื่นบริเวณผิวเซลล์ พบมากในระบบน้ำเหลือง คอยคัดกรองเละกำจัดเชื้อโรคเบื้องต้น หากเกินความสามารถของมันแล้วเดรนไดรติกเซลล์จะเรียกลิมโฟไซต์ทีเซลล์ออกมา

[4] ลิมโฟไซต์ เป็นเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่เข้มแข็งที่สุด แบ่งตามหน้าที่ได้เป็น 3 ชนิด

  • B lymphocyte เมื่อสัมผัสกับแอนติเจนแล้วจะเปลี่ยนไปเป็น plasma cell  มีหน้าที่ผลิตภูมิคุ้มกันด้านสารน้ำเรียกว่า humoral immunity (HI) หรือภูมิต้านทาน

ที่ประกอบด้วยโปรตีนชนิดต่างๆเรียกว่า immunoglobulin  ทำหน้าที่จับติดกับแอนติเจนแล้วทำลายด้วยวิธีต่างๆที่สลับซับซ้อน ส่วนใหญ่ภูมิคุ้มกันเหล่านี้จะอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิต

เพราะมีเซลล์ที่กลายเป็นเซลล์ความจำทำหน้าที่จำเชื้อที่เคยรู้จักแล้ว เมื่อเชื้อตัวเดิมเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง เซลล์ความจำก็จะระดมพลเพื่อสร้าง immunoglobulin ออกมาในปริมาณมากทันทีภายในสัปดาห์แรกที่ติดเชื้อ กำจัดเชื้อได้โดยที่ไม่ทันก่อโรค

  • T lymphocyte โดย ทีเซลล์ จะพบมากที่ต่อมไทมัสซึ่งตั้งอยู่บริเวณคอใกล้กับต่อมไทรอยด์ จึงเป็นสาเหตุทำให้เรียกว่าทีเซลล์ เมื่ออายุมากขึ้นต่อมไทมัสจะทำงานได้ดียิ่งขึ้นและผลิตทีเซลล์ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรคออกมา

นอกจากต่อมไทมัสแล้วร่างกายของเรายังมีทีเซลล์อยู่ที่บริเวณต่อมน้ำเหลืองอื่นๆ ทั่วร่างกายอีกด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลืองที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ ซึ่งต่อมทอนซิลก็เป็นต่อมน้ำเหลืองที่อยู่บริเวณคอเช่นกัน

ในผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจะต้องเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อนับจำนวนทีเซลล์ทุกปี (เราเรียกทีเซลล์เหล่านี้ว่า CD4) เนื่องจากเชื้อไวรัส เอชไอวี (HIV) จะมีการแบ่งตัวและทำลายทีเซลล์

จนในที่สุดร่างกายจะไม่เหลือทีเซลล์ไว้ต่อสู้กับเชื้อโรคเลย จึงทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS) และติดเชื้อหรือเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายกว่าคนปกติมาก

ดังนั้น ทีเซลล์จะเริ่มงานเมื่อได้รับสัญญาณจาก APC มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันด้านเซลล์เรียกว่า cell-mediated immunity (CMI) เป็นหลัก ที่สำคัญมี 2 ชนิด คือ

    • ทีเซลล์ผู้ช่วย (T helper) หรือ CD4  มีหน้าที่ส่งเสริมภูมิคุ้มกัน เมื่อได้รับสัญญาณจาก   APC หลั่งสารหลายชนิดออกมาจากเซลล์เรียกว่า ไซโตไคน์

เพื่อกระตุ้นเซลล์ชนิดต่างๆในระบบภูมิคุ้มกันให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนการรวมพล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อโรค เหมือนทหารที่ฮึกเหิมพร้อมออกศึก

    • ทีเซลล์นักฆ่า (T suppressor) หรือ CD8  ทำหน้าที่ทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม อีกทั้งยับยั้งการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันเมื่อหมดความจำเป็นแล้ว ไม่งั้นก็จะเกิดความเสียหายต่อร่างกายจากการทำงานที่เกินเลยของระบบ
  • natural killer cell  เป็นลิมโฟไซต์ที่มีหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็ง หรือเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส จะเห็นว่าเซลล์เหล่านี้ทำงานประสานกันได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้มากไปหรือน้อยไปจนเกิดผลเสียหายตามมา

การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วยสร้างต้านอนุมูลอิสระ

โรคที่เกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน

  • Granulocytopenia คือจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด granulocyte ลดน้อยลง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในผู้ที่ได้รับยาต้านมะเร็ง และฉายรังสี เป็นเหตุให้ขาดเซลล์ที่คอยกินเชื้อโรค จึงติดเชื้อแบคทีเรียได้โดยง่ายมาก
  • มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ ทำให้เม็ดเลือดขาวเสียหน้าที่ในระบบภูมิคุ้มกัน
  • ภูมิคุ้มกันบกพร่อง แบ่งเป็น 

1. บกพร่องที่ Humoral immunity เป็นเหตุให้ติดเชื้อโรคง่าย

2. บกพร่องที่ Cell-meditated immunity เป็นเหตุให้ติดเชื้อชนิดต่างๆโดยเฉพาะเชื้อที่อยู่ในเซลล์ได้แก่ไวรัส (เชื้อไวรัสเป็นเชื้อที่ต้องอาศัยเซลล์ในการเพิ่มจำนวน)

เชื้อรา โปรโตซัว แบคทีเรียบางชนิดเช่นวัณโรค ส่วนใหญ่เป็นเชื้อที่ไม่ค่อยก่อโรคในคนปกติ โรคที่เรารู้จักกันดีก็คือโรคเอดส์

      • ภูมิต้านทานเนื้อเยื่อตนเอง เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันจำเซลล์ในร่างกายไม่ได้ มองเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงสร้างภูมิต้านทานต่อเซลล์ในร่างกายของตนเอง

ทำให้เกิดโรคต่างๆมากมาย ขึ้นอยู่กับว่าเป็นภูมิต้านทานต่อเซลล์ชนิดใด เช่นโรค SLE หรือ โรคพุ่มพวง (ภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อหลายชนิดในร่างกาย)

AIHA (หรือเม็ดเลือดแดงแตกจากภูมิต้านทานเม็ดเลือดแดง) ITP (เกร็ดเลือดถูกทำลายจากภูมิต้านทานเกร็ดเลือด) รูมาตอยด์(ภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อรอบข้อเป็นเหตุให้ข้ออักเสบเรื้อรัง)เป็นต้น

      • ภูมิไวเกิน ได้แก่ โรคภูมิแพ้ชนิดต่างๆ เกิดจากภูมิคุ้มกันตอบสนองไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ นอกจากนี้ยังพบภูมิคุ้มกันต่ำ(ไม่ถึงขั้นบกพร่อง)ในเด็กเล็ก คนสูงอายุ

ผู้ที่เป็นเบาหวานโดยเฉพาะคนที่คุมระดับกลูโคสในเลือดได้ไม่ดี คนที่เป็นตับแข็ง ไตวายเรื้อรัง โลหิตจาง ขาดอาหาร คนที่ได้รับยากลุ่มสเตียรอยด์ที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันเป็นเวลานานๆ คนที่กินยาชุด ยาลูกกลอน ซึ่งผู้ผลิตมักผสมสเตียรอยด์ลงไปในยาเหล่านี้ด้วย

ภูมิคุ้มกันมาจากไหนบ้าง

  • ภูมิคุ้มกันที่ผ่านทางรกจากแม่สู่ลูกอยู่ขณะอยู่ในครรภ์  ภูมิคุ้มกันเหล่านี้จะค่อยๆลดลงแล้วหมดไปเมื่อทารกอายุ  6 เดือน ทารกแรกคลอดจึงได้ภูมิคุ้มกันนี้คอยป้องกันโรคต่างๆขณะที่ร่างกายยังอ่อนแอ
  • ภูมิคุ้มกันที่ได้จากน้ำนมแม่
  • ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเมื่อมีการติดเชื้อตามธรรมชาติ โดยระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อเหล่านั้น และส่วนใหญ่คงอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต

ถ้าหากเชื้อเดิมเข้าสู่ร่างกายอีกก็จะถูกกำจัดออกไปโดยไม่ทำให้เกิดโรคเช่น หัดเยอรมัน คางทูม อีสุกอีใส ไวรัสตับอักเสบบี

  • ภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการฉีดวัคซีน เป็นการเลียนแบบการติดเชื้อในธรรมชาติ โดยใช้เชื้อที่ทำให้อ่อนฤทธิ์หรือบางส่วนของเชื้อที่มีคุณสมบัติเป็นแอนติเจนฉีดเข้ามาในร่างกาย

เพื่อกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันโดยไม่เกิดโรคจากการติดเชื้อโดยธรรมชาติ ได้แก่วัคซีนชนิดต่างๆ

  • ภูมิคุ้มกันที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ฉีดเข้าไปในร่างกายให้ออกฤทธิ์ทันทีเรียกว่า อิมมูโนโกลบูลิน ใช้ในกรณีที่รอให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันไม่ทัน ภูมิคุ้มกันเหล่านี้อยู่ในร่างกายไม่นานก็หมดไป

มีทั้งชนิดรวมคือมีฤทธิ์ต้านทานแอนติเจนหลายชนิด และชนิดเฉพาะเจาะจงต่อเชื้อแต่ละอย่าง เช่นภูมิต้านทานไวรัสตับอักเสบบีใช้ฉีดให้ในทารกที่คลอดจากแม่ที่เป็นพาหะเพื่อป้องกันทารกติดเชื้อขณะคลอด

หลังจากนั้นจึงฉีดวัคซีนเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเอง นอกจากนี้ยังมีภูมิต้านทานโรคพิษสุนัขบ้า บาดทะยัก ภูมิต้านทานพิษงูที่เรียกว่าเซรั่ม

        จะเห็นได้ว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเริ่มทำงานมีบทบาทตั้งแต่แรกเกิด คือ 6 เดือนแรกเป็นภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากแม่และน้ำนม ต่อมาเด็กเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเองในร่างกายจากการติดเชื้อแต่ละครั้ง บางครั้งการติดเชื้อเกิดอาการน้อยหรือไม่เกิดอาการ

แต่พอตรวจเลือดดูก็พบว่าภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นแล้วเช่น ไวรัสตับอักเสบเอและบี เราจึงพบเด็กเล็กเป็นไข้กันบ่อย ซึ่งเชื้อไวรัสที่ทำให้เด็กป่วยมีมากกว่า 100 ชนิด ติดเชื้อแต่ละครั้งก็สร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อนั้น ติดกันไปติดกันมากว่าจะสั่งสมภูมิคุ้มกันครบก็เข้าสู่วัยประถม

สังเกตได้ว่าเด็กชั้นประถมจะไม่ค่อยป่วยแล้ว ส่วนเชื้อที่มีวัคซีนป้องกันก็สร้างภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีน กว่าจะฉีดครบก็อายุ 6-7 ขวบ พอโตเป็นผู้ใหญ่เราก็มีภูมิคุ้มกันดี

จึงไม่ค่อยป่วยด้วยโรคติดเชื้อกันอีก แต่หากมีเชื้อโรคพันธุ์ใหม่ที่ร่างกายไม่เคยสัมผัสมาก่อน จึงยังไม่มีภูมิคุ้มกัน เชื้อมักก่อโรครุนแรง ยิ่งเกิดในเด็กยิ่งมีอาการรุนแรงกว่าผู้ใหญ่ ที่รู้จักกันดีคือไวรัสซาร์สและไวรัสไข้หวัดนก

        ร่างกายเราเต็มไปด้วยเชื้อโรคอาศัยอยู่ทั้งที่ผิวหนัง  จมูก ลำไส้ใหญ่ ช่องคลอด เชื้อโรคเหล่านี้เป็นเชื้อประจำถิ่นเรียกว่า  Normal flora  อยู่กันอย่างสมดุลในร่างกาย

ถ้าหากมีสาเหตุให้เสียสมดุลไปก็ทำให้เกิดโรคได้ เช่นการกินยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน เชื้อที่ไวต่อยาถูกทำลายไปหมดเหลือแต่เชื้อดื้อยาที่ก่อโรคร้ายแรง การสวนล้างช่องคลอดด้วยยาฆ่าเชื้อเป็นเวลานาน

เชื้อแบคทีเรียตายไปเชื้อราก็เจริญเติบโตขึ้นมาแทนที่ทำให้ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อราจึงพบบ่อยในสาวรักสะอาดทั้งหลาย ยาปฏิชีวนะบางชนิดฆ่าเชื้อในลำไส้ใหญ่จึงเหลือเชื้อดื้อยาตัวร้ายเป็นเหตุให้ลำไส้ใหญ่อักเสบรุนแรง

        รอบๆตัวเราเต็มไปด้วยเชื้อโรคที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ น้ำ ในดิน เราจึงควรป้องกันเชื้อโรคเหล่านี้ไม่ให้เข้าสู่ร่างกายโดยง่าย ด้วยการรักษาสุขอนามัยให้ดี

คือ กินอาหารสะอาดและทำสุกใหม่ๆ ตัดเล็บให้สั้น ล้างมือให้สะอาดโดยเฉพาะก่อนหยิบอาหารเข้าปาก ไม่ไปอยู่ในที่ๆ อากาศถ่ายเทไม่สะดวกอย่างในโรงหนังที่ปิดทึบ ห้างที่มีคนแออัด ไม่ไอจามรดกัน ไม่คลุกคลีกับคนป่วย

ถ้าจำเป็นก็ให้ใช้ผ้าปิดปากและจมูกก็ช่วยได้มาก ไม่ควรกินยาพร่ำเพรื่อเกินความจำเป็น และควรหลีกเลี่ยงยาที่ผสมสเตียรอยด์ เพราะกินไปนานๆภูมิคุ้มกันจะต่ำลง  อาจถึงขั้นช็อกหรือตาย

“หากเรารักษาสุขอนามัยดี ร่างกายแข็งแรง ภูมิคุ้มกันดีไม่กินยาพร่ำเพรื่อเกินความจำเป็น แม้จะติดเชื้อก็มีอาการไม่รุนแรง และหายได้เองในเวลาอันรวดเร็วด้วยภูมิคุ้มกันอันแสนวิเศษในร่างกาย แทบไม่ต้องพึ่งยาปฏิชีวนะใดๆเลย..”

อาหารเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน นูทริก้า Nutriga

เครื่องดื่มน้ำเอนไซม์ S.O.D ต้านอนุมูลอิสระ ต้านความแก่

>> SOD ต้านอนุมูลอิสระดีที่สุดในโลก <<
>> วิธีสังเกตมะเร็งง่ายๆด้วยตัวเอง <<
>> เพิ่มภูมิคุ้มกันด้วย เบต้ากลูแคน <<

error: do not copy content!!