มะเร็งกระเพาะอาหาร…สัญญาณเตือนให้ระวัง
หนึ่งในสัญญาณเตือนที่บ่งชี้ถึงภาวะความเสี่ยงในการเป็นโรค “มะเร็งกระเพาะอาหาร” คือ อาหารไม่ย่อย โดยภาวะอาหารย่อยไม่ดี (Indigestion) หรือที่เรามักเรียกกันว่าอาหารไม่ย่อยนั้น

เป็นเหตุให้เกิดอาการปวด จุก เสียด แน่นท้อง เรอบ่อย รู้สึกไม่สบายในท้อง อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกินอาหารโดยมีอาการได้หลายลักษณะและไม่เหมือนกันในแต่ละครั้งก็ได้
แม้ว่าส่วนใหญ่ของอาหารไม่ย่อยจะเป็นสภาวะที่ไม่เป็นปัญหาใหญ่ และสามารถป้องกันได้ แต่อาการเหล่านี้อาจเกิดจากโรคต่างๆเช่น แผลที่กระเพาะอาหาร (gastric ulcer) แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenal ulcer)

ลำไส้แปรปรวน (irritable bowel syndrome) มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือนิ่วในถุงน้ำดี
อาการอาหารไม่ย่อย
สำหรับอาการอาหารไม่ย่อยและแผลในกระเพาะอาหาร มักจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
- ปวด จุก เสียด แน่นท้อง
- ปวดแสบๆ ร้อนๆ บริเวณลิ้นปี่

- ท้องอืด มีแก๊สในท้อง
- เรอบ่อย ผายลมบ่อย
- คลื่นไส้ อาเจียน
สาเหตุที่พบบ่อย
เกิดจากการอักเสบและระคายเคืองของกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยมักจะมีสาเหตุมาจาก
1. ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
2. จากการกินอาหารเช่น อาหารรสจัด เผ็ด เปรี้ยว อาหารมัน

3. กินอาหารผิดเวลา หรือกินปริมาณมากจนอิ่มเกินไป กินปริมาณน้อยเกินไปจนหิว
4. อาหารเป็นพิษ
5. การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
6. สูบบุหรี่
7. ความตึงเครียด

8. ยาบางชนิดเช่น แอสไพริน ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs)
9. การตั้งครรภ์
วิธีดูแลและป้องกันภาวะอาหารไม่ย่อย
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ของทอด ของมัน อาหารรสจัด เช่น เผ็ด เปรี้ยว
- ปรับปรุงพฤติกรรมการกินอาหารให้เป็นเวลา โดยกินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด ไม่ปล่อยให้หิวนาน หรือกินอิ่มเกินไป
- ไม่สูบบุหรี่

- หลีกเลี่ยงสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เป็นสาเหตุของความตึงเครียด
- หลีกเลี่ยงยาที่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร เช่น ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs)
- กินยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาขับลม หรือยาช่วยย่อย
- พบแพทย์หากมีอาการเป็นเวลานานเกิน 2 สัปดาห์ โดยมีอาการแย่ลง เช่น มีไข้ อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ หรือถ่ายเป็นเลือด น้ำหนักลด
แผลเปปติก (Peptic Ulcer)
แผลเปปติก peptic ulcer (PU) ประกอบด้วย gastric ulcer (GU) คือแผลในกระเพาะอาหาร และ duodenal ulcer (DU) แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น

แผลเหล่านี้มักมีขนาด 5-25 มิลลิเมตร เป็นในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และพบแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นมากกว่าแผลในกระเพาะอาหารประมาณ 3 เท่า ซึ่งแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นมักไม่เป็นเนื้อร้าย
ส่วนแผลในกระเพาะอาหารมีโอกาสเป็นมะเร็งได้
อาการของแผลเปปติก
- ถ้าแผลมีขนาดเล็กมาก ไม่ค่อยมีอาการ
- จุกท้อง แน่นท้อง หรือปวดแสบปวดร้อนบริเวณลิ้นปี่ มักเป็นเวลาท้องว่าง คือระหว่างมื้ออาหารและเวลานอน แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น อาจมีอาการดีขึ้นหลังกินอาหารแล้วจะปวดอีกใน 2-3 ชั่วโมงให้หลัง
- เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หากอาหารเป็นสาเหตุ คือ ผู้ที่ปวดเวลาอิ่ม

- กินอาหารได้มากขึ้น กินอาหารช่วยให้หายปวด คือ ผู้ที่ปวดเวลาหิว
- ท้องอืด เรอบ่อย
- คลื่นไส้ อาเจียน
ภาวะแทรกซ้อน
- โลหิตจางอันเป็นผลของการเสียเลือดจากแผลที่เป็นเรื้อรัง
- เลือดออกจากแผลในปริมาณมาก จากแผลที่มีขนาดใหญ่และลึก รุกล้ำเยื่อบุถึงหลอดเลือดจนหลอดเลือดแตก ทำให้อาเจียนเป็นเลือดและถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ อาจเสียเลือดปริมาณมากจนช็อค

- แผลลึกมากจนกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้นทะลุ
- เยื่อบุช่องท้องอักเสบจากอาหารและน้ำย่อยที่ออกมาจากกระเพาะอาหารทางรูทะลุเข้าสู่ช่องท้อง
- แผลเรื้อรังจนกลายเป็นแผลเป็นมีความแข็ง ขาดความยืดหยุ่น ซึ่งหากเป็นที่ส่วนปลายของกระเพาะอาหาร จะเกิดการตีบหรือตันจนอาหารไม่สามารถผ่านจากกระเพาะอาหารไปสู่ลำไส้เล็กได้ เป็นเหตุให้มีอาการอาเจียน น้ำหนักลด กระเพาะคราก
โรคแผลเปปติกกับเชื้อ H.pylori
โรคแผลเปปติก (Peptic ulcer) เป็นแผลที่เกิดในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น ทำให้มีอาการปวด จุก เสียด แน่นท้องบริเวณลิ้นปี่ เป็นๆหายๆ ทั้งเวลาหิวและอิ่ม
หรือหลังกินอาหารรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ในอดีตผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานจากการปวดท้องเรื้อรังเป็นเดือนเป็นปี หลังรักษาแล้วมีโอกาสเป็นช้ำถึง 80% แต่ปัจจุบันเราทราบสาเหตุและสามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้

เดิมเชื่อว่าโรคนี้เกิดจากกระเพาะอาหารมีกรดมาก หรือเยื่อบุกระเพาะอาหารไม่แข็งแรง แต่ปัจจุบันพบว่า 74% ของแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น และ 46% ของแผลที่กระเพาะอาหารเกิดจากการติดเชื้อ H.pylori
H.pylori เป็นเชื้อแบคทีเรียมีผู้ค้นพบมานานกว่า 100 ปีแล้ว แต่เพิ่งทราบว่าเป็นสาเหตุของแผลในกระเพาะอาหารเมื่อปี พ.ศ. 2513 นี้เอง เชื้อโรคทั่วไปจะไม่สามารถทนภาวะกรดในกระเพาะอาหารได้

แต่เชื้อนี้สามารถปรับตัวจนอาศัยอยู่ในภาวะกรดอย่างแรงได้ จึงเจริญเติบโตอยู่ในเยื่อบุกระเพาะอาหาร และเป็นสาเหตุของการอักเสบและแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น
และในระยะยาวยังเป็นปัจจัยเสี่ยงประการหนึ่งของมะเร็งกระเพาะอาหาร สันนิษฐานกันว่าโรคนี้ติดต่อทางปาก เช่น กินอาหารร่วมกันโดยใช้ตะเกียบ หรือไม่ใช้ช้อนกลาง มักพบระบาดในชุมชนแออัดและคนในครอบครัวเดียวกัน
การวินิจฉัยในปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้วิธีส่องกล้องกระเพาะอาหาร เพื่อตัดเนื้อจากเยื่อบุกระเพาะอาหารมาตรวจหาเชื้อด้วยเทคนิคต่างๆ อาจใช้วิธีตรวจเลือด

โรคนี้สามารถรักษาได้ด้วยยาลดการหลั่งกรดร่วมกับยาปฏิชีวนะเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ ซึ่งกำจัดเชื้อได้ผลกว่า 90% และลดการเกิดโรคซ้ำจาก 80% ใน 1 ปี เป็นไม่เกิน 10% ใน 1 ปี
ทำให้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการปวดท้องเรื้อรังอีกต่อไป แต่ในปัจจุบันเชื้อดื้อยามากขึ้น แม้ว่าคุณจะได้รับการรักษาจนหายแล้วแต่ยังมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก หากดูแลตัวเองไม่ดีพอ
สาเหตุของ มะเร็งกระเพาะอาหาร
1. การติดเชื้อ Helicobacter pylori (H.pylori) ซึ่งเมื่อติดเชื้อนี้จะทำให้มีอาการอักเสบและเกิดเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเป็น มะเร็งกระเพาะอาหาร
2. การกินแอสไพรินและยาต้านอักเสบ (NSAIDs) ได้แก่ ยาแก้ปวดโรคข้อกระดูกชนิดต่างๆ

3. อาหาร โดยการรับประทานอาหารปิ้งย่าง หมักดอง อาหารเค็มจัด อาจทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น
การดูแลตนเองให้ไม่เป็นแผลในกระเพาะอาหาร
- กินอาหารอ่อน ย่อยง่าย เคี้ยวให้ละเอียด
- ไม่ควรกินจนอิ่มเกินไป หรือปล่อยให้หิวนาน
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด (เผ็ด เปรี้ยว) อาหารดอง น้ำอัดลม

- งดบุหรี่ และสุรา
- หลีกเลี่ยงยาต้านอักเสบที่ใช้รักษาข้อและกล้ามเนื้ออักเสบ (NSAIDs) ที่มีฤทธิ์กัดกระเพาะอาหาร
- ผ่อนคลายความตึงเครียด และวิตกกังวล
- ปรึกษาแพทย์หากมีอาการปวดท้องเรื้อรัง อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด หรือสีดำ

การรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
- ให้ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร
- ส่องกล้องเข้าไปดูลักษณะแผล ตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจหากเป็นแผลที่กระเพาะอาหาร เพื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งหรือไม่
- ให้ยารักษาแผลและยาปฏิชีวนะกรณีตรวจพบเชื้อ H.pylori ซึ่งใช้เวลารักษาประมาณ 1-2 สัปดาห์
- ส่องกล้องเข้าไปเพื่อทำการห้ามเลือด กรณีเลือดออกมาก

- ผ่าตัดหากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกไม่หยุด แผลทะลุ อาหารผ่านเข้าสู่ลำไส้ไม่ได้จากการอุดตัน
- รักษาภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
ดังนั้นการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรค มะเร็งกระเพาะอาหาร นั้นสามารถทำได้ เพียงแค่ปฏิบัติตนให้ถูกต้อง กินอยู่อย่างถูกสุขลัษณะและหลีกเลี่ยงสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ ไม่ว่าเป็นพวกเหล้า บุหรี่ ความเครียด เป็นต้น
