เสี่ยงเป็น มะเร็งลำไส้ หากไม่ทานใยอาหาร
ส่วนใหญ่แล้วมะเร็งมักเกิดจากการที่เซลล์ในร่างกายเราแบ่งตัวผิดปกติจนทำให้เกิดเซลล์ที่เป็นมะเร็ง ลุกลามจนทำให้เป็นโรคมะเร็งตามอวัยวะต่างๆ ซึ่งหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เราเป็นโรคมะเร็ง (และอีกหลายโรค) ก็คือ อนุมูลอิสระ (Free Radical)
อนุมูลอิสระคือ อนุภาคชนิดหนึ่งในร่างกายที่ไม่มีความเสถียร เกิดจากการเผาผลาญในร่างกายและการทำงานของอวัยวะต่างๆของเรา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว การเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายเราเป็นเรื่องที่ไม่ผิดปกติ

และไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกาย เพราะร่างกายเราสามารถขับอนุมูลอิสระเหล่านี้ออกจากร่างกายได้
แต่สำหรับบางคนที่ร่างกายผลิตอนุมูลอิสระมากกว่าปกติหรือรับอนุมูลอิสระจำนวนมากเข้ามา ไม่ว่าจากทางอาหาร อากาศ หรือร่างกายมีความสามารถในการขับอนุมูลอิสระน้อยลง
อนุมูลอิสระเหล่านี้ก็จะเข้าไปทำลายเซลล์ในส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เป็นโรคมะเร็ง และโรคอื่นๆตามมามากมาย
ต้นเหตุที่ทำให้เป็นมะเร็ง
การเป็นมะเร็งนั้น ส่วนนึงมีต้นเหตุมาจากกรรมพันธุ์ (ซึ่งเราไม่สามารถแก้ไขอะไร) แต่อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เป็นมะเร็งนั้นเกิดจากอาหารการกิน(รวมบุหรี่และแอลกอฮอล์)ซึ่งเป็นสิ่งที่เราป้องกันได้

โรคมะเร็งตับ มีต้นเหตุมาจากการเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบชนิดบีและอาหารที่กิน โดยในส่วนของมะเร็งตับ-ท่อน้ำดีนั้นพบว่า คนในภาคอีสานมีอัตราป่วยสูงที่สุดในโลก เชื่อว่าเกิดมาจากพฤติกรรมการกินปลาดิบจำพวกปลาน้ำจืดที่มีเกล็ด จึงทำให้เกิดพยาธิใบไม้ในตับจนก่อให้เกิดมะเร็ง
นอกจากนี้คนในแถบนี้ยังชอบกินปลาร้าดิบ อาหารที่มีดินประสิว(ไนเตรต) เช่น ปลาจ่อม ปลาส้ม แหนม ไส้กรอก เบคอน ซึ่งทำให้เป็นโรคมะเร็งชนิดนี้มากด้วย
ขณะเดียวกันคนในภูมิภาคอื่นก็กินอาหารประเภทไส้กรอก เบคอน แหนม กันมากขึ้น จึงทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับมากด้วยเช่นกัน

การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ การกินอาหารที่มีเชื้อรา(ซึ่งพบมากในอาหารประเภทถั่ว ข้าวโพด พริกแห้ง) รวมถึงอาหารหมักดองและอาหารที่สุกๆดิบๆ (ไม่ได้ทำให้อาหารสุกด้วยความร้อน) ก็ทำให้เป็นโรคมะเร็งตับได้เช่นกัน
ถ้าวิเคราะห์พฤติกรรมจากการกินในปัจจุบันของคนไทย ที่กินอาหารนอกบ้านมากขึ้น(ร้อยละ 30 กินอาหารนอกบ้านทั้ง 3 มื้อ, และ 70% กินมื้อเที่ยงนอกบ้าน)
ทำให้ต้องกินเครื่องปรุงที่ไม่ได้ทำเอง เช่น ถั่ว พริก ทำให้มีโอกาสได้รับเชื้อราจากเครื่องปรุง รวมถึงพฤติกรรมที่ดื่มแอลกอฮอล์เฉลี่ยสูงถึง 50 ลิตรต่อคนต่อปี
จนเป็นอันดับที่ 5 ของโลก และพฤติกรรมที่กินอาหารประเภทไส้กรอก เบคอน แหนม เพิ่มมากขึ้น ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนไทยเราจะเป็นมะเร็งตับกันมากขึ้น

ส่วนมะเร็งต่อมลูกหมากนั้น เกือบร้อยทั้งร้อยจะไม่แสดงอาการในตอนที่เป็นระยะแรกๆ มะเร็งชนิดนี้มักจะพบในผู้ชายอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป และพบสูงขึ้นเรื่อยๆในคนที่อายุมากขึ้น
โดยมะเร็งชนิดนี้มีสาเหตุมาจากการกินอาหารที่มีไขมันสูง และยังเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมอีกด้วย
ส่วนมะเร็งลำไส้นั้น มีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์และพฤติกรรม ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและเขตเมืองใหญ่ที่มีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ และมีพฤติกรรมการกินอาหารแบบตะวันตก

ซึ่งมักจะกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารไขมันสูง ใยอาหารน้อย สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ออกกำลังกาย ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกายและมีความเครียด (คนที่กินฮอทดอกวันละ 1 ชิ้นจะเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่าคนที่ไม่กินถึง 21%)
มีข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจมากคือ ผลงานวิจัยอันนึงที่ได้สรุปว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพของเรา(รวมถึงโรคมะเร็ง)ก็คือ ปริมาณใยอาหารที่กินในแต่ละวันนั่นเอง
ใยอาหารกับระบบดูดซึมอาหาร
อาหารที่เรากินเข้าไป ร่างกายจะยังไม่สามารถดูดซึมเข้าไปโดยตรง แต่ต้องผ่านกระบวนการการย่อยให้กลายเป็นโมเลกุลที่เล็กลงเสียก่อนเช่น โปรตีนต้องถูกย่อยให้เป็นกรดอะมิโนก่อน ร่างกายจึงจะดูดซึมเข้าไปใช้งานได้
การดูดซึมอาหารส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณผนังของลำไส้เล็กโดยมีวิลไล ที่มีลักษณะเป็นขนเส้นเล็กๆนับล้านเส้นทำหน้าที่คอยดูดซึมสารอาหารต่างๆเข้าสู่กระแสเลือด

พื้นที่ผิวของวิลไลที่ทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารมีพื้นที่พอๆกับสนามเทนนิสเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากวิลไลเหล่านี้สกปรกมีการสั่งสมของของเสียหรือสารเคมีต่างๆ ที่ปนเปื้อนเข้าไปกับอาหารที่กิน
วิลไลก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง และส่งผลให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ(ต้องกินมากๆถึงจะอิ่ม)
ถ้าเรากินใยอาหารมากพอ ใยอาหารก็จะช่วยทำความสะอาดวิลไล คล้ายกับการเอาฟองน้ำนิ่มๆไปเช็ดทำความสะอาด สิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามวิลไลก็จะหลุดออกมา และจะถูกขับถ่ายออกไปพร้อมกับอุจจาระ วิลไลสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ร่างกายก็จะได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่

ใยอาหาร กับ มะเร็งลำไส้
คนปกติควรจะถ่ายอุจจาระทุกวัน หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรจะถ่ายวันเว้นวัน โดยอุจจาระที่ดีจะไม่นิ่มเกินไปจนเหลว และไม่แข็งจนแห้งเป็นก้อน ไม่มีกลิ่นที่เหม็นมากเกิน
มีสีน้ำตาลอ่อนหรือหากกินผักมากสีก็จะออกไปทางเขียว หากอุจจาระมีสีดำเข้มควรจะไปตรวจ เพราะอาจมีปัญหาในระบบทางเดินอาหารได้
การอุจจาระอย่างสม่ำเสมอ นั้นคือไม่มีภาวะท้องผูกนั้น มีความสำคัญกับร่างกายของเรามาก ลองนึกภาพง่ายๆว่า หากเราทิ้งอาหารสด เช่น แกงเขียวหวาน ไว้นอกตู้เย็นในวันที่อุณหภูมิ 37°c สัก 2-3 วัน อาหารนั้นจะมีสภาพเป็นอย่างไร
เช่นเดียวกันกับอาหารที่เรากินเข้าไป ถ้าเราท้องผูกอาหารเหล่านั้นก็จะอยู่ในลำไส้ของเรา(ซึ่งมีอุณหภูมิ 37°c) หลายวันอาหารก็จะมีสภาพบูด เน่า เหม็น และเป็นพิษ

ซึ่งของเสียในอุจจาระและสารพิษส่วนหนึ่งก็อาจถูกร่างกายดึงกลับไปใช้ทั่วทุกส่วนของร่างกาย รวมถึงสมอง ทำให้สุขภาพและการทำงานของสมองแย่ลง นอกจากนี้ ของเสียและสารพิษนั้นยังตกค้างในลำไส้ทำให้เราเป็นมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย
ในกรณีของบางคนที่อาจจะไม่มีอาการท้องผูกอย่างชัดเจน แต่อาหารที่กิน มีใยอาหารน้อยเกินไป เช่น บางคนชอบกินหมูและเนื้อเป็นประจำ และไม่ค่อยกินปลา ถั่ว ผักผลไม้
ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยสลายหมูและเนื้อนานกว่าย่อยสลายปลาและพืชประมาณ 3-7 เท่า ทำให้อาหารดังกล่าวจะอยู่ในระบบทางเดินอาหารนาน

คนที่กินแบบนี้ ลำไส้ก็จะไม่ได้ถูกทำความสะอาด และยังมีการหมักหมมของอุจจาระและสารพิษต่างๆเพิ่มเติม จึงเสี่ยงที่จะเป็น มะเร็งลำไส้
หากเรากินใยอาหารมากพอ ใยอาหารเหล่านั้นก็จะเคลื่อนตัวผ่านลำไส้พร้อมๆกับช่วยทำความสะอาด ไม่ให้สิ่งสกปรกที่เป็นอันตราย สะสมอยู่ในร่างกายนานเกินไป
และการกินอาหารที่มีใยอาหารมากพอ จะทำให้ลำไส้มีเวลาสัมผัสกับของเสียที่สั้นลงทำให้โอกาสเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ก็ลดลงด้วย ใยอาหารมีบทบาทสำคัญต่อการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ และเราควรกินใยอาหารวันละประมาณ 25-30 กรัม
วิธีหลีกเลี่ยงหรือลดอาการท้องผูก
1. กินอาหารที่มีใยอาหารมากๆ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช

2. ดื่มน้ำวันละ 1.5-2 ลิตรขึ้นไป ไม่ควรดื่มกาแฟและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพราะจะทำให้อุจจาระแห้ง
3. ออกกำลังกาย การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยให้ ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น
วิธีหลีกเลี่ยงท้องผูกแบบผิดๆ
เวลาที่มีอาการท้องผูก คนส่วนใหญ่มักจะแก้ไขที่ปลายเหตุด้วยยาระบายประเภทต่างๆ ซึ่งวิธีการนี้ นอกจากจะไม่ช่วยแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนแล้ว ในระยะยาวยาเหล่านี้จะมีผลกระทบตามมาอีกด้วยเช่น
- ยากลุ่มหล่อลื่นลำไส้ เช่น น้ำมันพาราฟิน ยาชนิดนี้จะทำให้ร่างกายดูดซึมวิตามินA D E Kได้น้อยลง
- ยากลุ่มที่เพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้ เช่น ยามิลก์ออฟแมกนีเซียม ซึ่งช่วยดูดน้ำเข้ามาในอุจจาระและลำไส้ แต่มีผลเสียคือ สารแมกนีเซียมอาจสะสมในร่างกาย ทำให้เกิดอันตรายในผู้ป่วยที่ไตทำงานไม่ปกติ

- ยากลุ่มที่กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ค่อนข้างแรงและเร็ว เช่น มะขามแขก บิสาโคดิล ข้อเสียของยากลุ่มนี้คือ อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง และมีผลต่อการทำงานของลำไส้
การดีท็อกด้วยการสวนทวาร เช่น การใช้กาแฟสวนทวาร วิธีการนี้แม้ว่าจะช่วยทำความสะอาดลำไส้ได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาเรื่องการขับถ่ายที่ต้นเหตุ
อีกทั้งยังมีจุดที่ต้องให้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งคือ ตามธรรมชาติแล้วทวารและลำไส้จะบีบตัวเพื่อให้อุจจาระไหลลง การปล่อยให้ของเหลววิ่งสวนขึ้นมาเป็นการฝืนธรรมชาติ และมีโอกาสส่งผลเสียต่อระบบลำไส้ได้
และอาจทำให้หูรูดทวารเสื่อมหรือฉีกได้ อีกทั้งต้องควบคุมแรงดันที่ใช้ในการสวนทวารให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้ลำไส้โป่งพองหรือแตกได้และยังต้องระวังการติดเชื้อจากการสวนทวารอีกด้วย
ใยอาหารกับโรคเรื้อรัง

มีโรคเรื้อรังหลายๆโรค ที่พบมากในชาวตะวันตก แต่ไม่ค่อยพบในชาวตะวันออกและชาวแอฟริกันพื้นเมืองไป สาเหตุเกิดจากการที่ชาวตะวันตกกินอาหารที่มีใยอาหารที่น้อยกว่าชาวตะวันออกและชาวแอฟริกันพื้นเมืองนั่นเอง
ดังนั้น ถ้าเรากินใยอาหารให้เพียงพอ ร่างกายก็จะมีโอกาสเป็นโรคเหล่านี้ได้ยากขึ้น เช่น โรคอ้วน เพราะการพองตัวของใยอาหาร จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มและกินอาหารได้น้อยลง แล้วอยู่ท้องนานขึ้น
- ผลต่อน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน หากได้กินใยอาหารเพียงพอ ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลง หรือจะสามารถควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้นกว่าเดิม
- ผลต่อไขมันในเลือด การกินอาหารที่มีใยอาหารที่เพียงพอจะช่วยให้ระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในเลือดลดลง เพราะใยอาหารสามารถดักจับไขมันที่มากับอาหารได้ดี
ทำให้ร่างกายได้รับไขมันน้อยลง ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคความดันสูง

ควรกินใยอาหารมากแค่ไหน
มาดูอาหารหลักของเราในยุคปัจจุบันซึ่งได้แก่เนื้อสัตว์ทุกชนิด ไข่ นม รวมถึงอาหารที่ถูกขจัดใยอาหารหรือกากออกไปจนเกือบหมด เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว แป้งขาว น้ำตาลทรายขาว รวมถึงอาหารที่มีรสหวานต่างๆ
ที่ทำขึ้นจากน้ำตาลและแป้งที่ถูกขจัดใยอาหารออกไปจนเกือบหมดแล้ว เช่น เค้ก โดนัท พาย แพนเค้ก ช็อคโกแลต ขนมกรุบกรอบ คุกกี้ แยม น้ำอัดลม ไอศครีม ฯลฯ จะเห็นได้ว่า ในแต่ละวันเรากินใยอาหารน้อยมาก

เราควรกินผลไม้สดให้ได้ประมาณวันละครึ่งกิโลกรัม (5 ขีด) ถึงจะทำให้เราได้วิตามิน เกลือแร่ ใยอาหารที่เพียงพอ ที่จะทำให้ความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งชนิดต่างๆลดลง เช่น มะเร็งช่องปาก หลอดอาหาร ปอด ตับ ตับอ่อน กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ เต้านม กระเพาะปัสสาวะ
รวมถึงชะลอความแก่ เพิ่มความจำ ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ฯลฯ แต่โดยเฉลี่ยแล้ว คนไทยกินผักผลไม้วันละประมาณ 1-2 ขีดเท่านั้น

ปัจจุบันแม้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์จะสูงมากขึ้นก็ตาม แต่ถ้าเป็นมะเร็งก็มีโอกาสตายค่อนข้างสูงทีเดียว ในขณะที่การก่อตัวของมะเร็งจะเป็นไปแบบเงียบๆค่อยเป็นค่อยไป คนส่วนใหญ่จึงมักจะไม่รู้ตัว และมักจะรู้ว่าตัวเองเป็นเมื่ออยู่ในระดับที่รักษาให้หายขาดไม่ได้แล้ว
และปัจจุบันมะเร็งไม่ได้เป็นโรคของคนแก่อีกต่อไป เพราะแม้แต่เด็กอายุไม่ถึง 10 ขวบก็สามารถเป็นโรคมะเร็งได้ และอายุเฉลี่ยของคนที่เป็นโรคนี้ก็ลดลงเรื่อยๆ จึงไม่ได้ไกลตัวพวกเราทุกคนเลย ทุกคนจึงควรใส่ใจในการสังเกตตัวเองให้มากๆ
คนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพค้นหาความผิดปกติอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากตรวจพบเร็วโอกาสรักษาหายก็จะสูง ด้วยสัญญาณผิดปกติที่สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งมี 7 อย่าง ได้แก่
1. มีเลือดออกหรือมีสิ่งขับออกจากร่างกายผิดปกติ เช่น ตกขาวมากเกินไป
2. มีก้อนเนื้อหรือตุ่มเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งของร่างกายและก้อนนั้นโตเร็ว

3. มีแผลเรื้อรังรักษาหายยาก
4. ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะผิดปกติ หรือเปลี่ยนไปจากเดิม
5. เสียงแหบหรือไอเรื้อรัง
6. กลืนอาหารลำบากหรือกินอาหารแล้วไม่ย่อย
7. มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการตรวจพบเร็วจะทำให้มีโอกาสรอดชีวิตสูง แต่การป้องกันตัวเองก็ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะหากเรารอให้เป็นแล้วค่อยรักษา ค่าใช้จ่ายก็สูงมากจนเงินที่หามาทั้งชีวิตอาจจะหมดไปในระยะเวลาอันสั้น
เช่น หากเราใช้ยาริทูซิแมบ(Rituximab) สำหรับรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง ราคาจะตกเข็มละ 69,157 บาท ยาทราสทูซูแมบ(Trastuzumab) รักษามะเร็งเต้านม มีราคาเข็มละ 98,340 บาท ยาบีวาซีซูแมบ(Bevacizumab) รักษามะเร็งลำไส้เข็มละ21,602.50 บาท

ดังนั้น หากมีอาการเหล่านี้ขอให้ไปพบแพทย์โดยเร็ว อย่ากลัวที่จะพบแพทย์ เพราะยิ่งเราตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆจะทำให้มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ประมาณ 40-50%
และมีโอกาสรอดชีวิตสูง โดยประมาณ 30- 40% ของมะเร็งสามารถป้องกันได้ โดยยึดหลัก 5 อ. คือ อาหาร อากาศ อารมณ์ ออกกำลังกาย และอุจจาระ

บทความที่น่าสนใจ

