FAQ, รักษามะเร็ง-cure-cancer

รักษามะเร็ง ด้วยเทคโนโลยีล่าสุด

%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%a9%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%87-cancer-cure

เทคโนโลยีล่าสุดเพื่อ รักษามะเร็ง

เพราะการ รักษามะเร็ง ด้วยวิธีใหม่ๆที่ดูเหมือนว่าจะตีกลับเป็นล้มเหลวลงแทบทุกวัน การกลายพันธุ์ของเซลล์ที่รุนแรงนำหน้านักวิทยาศาสตร์ไปหนึ่งก้าวเสมอ

แต่เมื่อมีฐานข้อมูลระดับโลกอย่างมหาศาลร่วมกับเซลล์ที่ดัดแปลงพันธุกรรมให้มีภูมิคุ้มกันได้ และปัญญาประดิษฐ์ ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ก็กำลังหาหนทางต่อสู้กับมะเร็งลึกไปจนถึงต้นตอของมันเองเลย

เทคโนโลยีทางการแพทย์ถูกนำมาใข้รักษามะเร็ง

ความยากของการรักษามะเร็งสร้างแรงกดดันให้นักวิทยาศาสตร์  5 ข้อหลักๆคือ

1. เซลล์มะเร็งกลายพันธุ์เร็วมาก จึงหลุดรอดการรักษาของแพทย์ไปได้

2. ก้อนเนื้อเติบโตแต่ตรวจไม่พบจนกว่ามันจะเป็นก้อนใหญ่มากจนดื้อยา

3. เนื้องอกทั้งหมดแตกต่างกัน แต่ละชนิดต้องใช้วิธีรักษาของตัวเอง

4. เซลล์มะเร็งทำให้เซลล์สุขภาพดีหันมาช่วยให้เซลล์มะเร็งเติบโต

5. การทดลองในสัตว์ทำให้เข้าใจประสิทธิภาพของยาผิดพลาดไป

ผู้แข็งแรงที่สุดเท่านั้นที่อยู่รอด

เซลล์มะเร็งจะปรับตัวเพื่อขยายตัวได้มากขึ้น

เซลล์มะเร็งก็เหมือนสัตว์โคลนนิ่ง มันต้องต่อสู้เพื่อให้อยู่รอดในสภาวะที่ยากลำบากทำให้มันต้องพัฒนาอย่างรวดเร็ว

  • ชีวิตของเนื้องอกมะเร็งอยู่ในอันตรายตลอดเวลา เลือดไปหล่อเลี้ยงน้อยทำให้ขาดออกซิเจน ระบบภูมิคุ้มกันก็โจมตีตลอดเวลา และแพทย์ก็พยายามจะฆ่ามันด้วยรังสีรวมทั้งเคมีบำบัดอีก
  • การกลายพันธุ์เพิ่มความสามารถของเซลล์ ด้วยการกลายพันธุ์เซลล์มะเร็งแต่ละเซลล์จะเกิดลักษณะใหม่ที่เป็นประโยชน์ขึ้น มันอาจจะปล่อยสารสื่อประสาทที่ไปยับยั้งระบบภูมิคุ้มกันหรือผลิตโปรตีนที่ปั้มยาคีโมออกจากเซลล์ก็ได้
  • ผู้อยู่รอดพัฒนาอีกครั้ง เซลล์มะเร็งที่ต้านทานได้มากที่สุดจะอยู่รอด และพัฒนาขึ้นมาเป็นเซลล์ประเภทใหม่ที่มีลักษณะอื่น ภูมิคุ้มกันและแพทย์คอยโจมตีมันต่อเนื่อง แต่สุดท้ายแล้ว เซลล์มะเร็งที่ต้านทานได้ดีที่สุดก็จะมีชัยเหนือกว่า

เนื้องอกกลายพันธุ์ตลอดเวลา

เซลล์มะเร็งก้าวนำแพทย์ 1 ก้าว เซลล์มะเร็งที่ลุกลามเร็วจะมีอาวุธใหม่ๆ ทำให้มันเลี่ยงการรักษาที่ดีที่สุดได้ แพทย์จะใช้การผ่าตัด ฉายรังสี และเคมีบำบัดในการโจมตีมะเร็งที่รุนแรงที่สุด แต่เซลล์เหล่านี้จะตีโต้กลับมา เพราะเนื้องอกเรานี้มีเซลล์ที่ต้านทานต่อการโจมตีได้

เซลล์มะเร็งนั้นกลายพันธุ์ได้เร็วกว่าเซลล์ปกติ ทำให้เกิดลักษณะใหม่ขึ้น นั่นแปลว่าเนื้องอกหนึ่งอาจมีเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด เซลล์บางส่วนต้านทานรังสีหรือเคมีบำบัด

รักษามะเร็งด้วยการคีโม

บางอย่างก็หลบหนีทั้งสองอย่างได้โดยไร้อันตราย ถึงจะมีมะเร็งไม่กี่เซลล์รอดจากการรักษาได้ แต่มันก็จะเติบโตมาเป็นเนื้องอกใหม่ได้อีกอย่างรวดเร็ว

เมื่อเนื้องอกใหม่โตขึ้น มันจะเกิดการกลายพันธุ์อีกครั้งแล้วเปลี่ยนเป็นเซลล์หลายๆชนิด ถึงจุดหนึ่งเซลล์บางส่วนก็จะสามารถหลุดออกจากอวัยวะที่อยู่ได้ แล้วแพร่ไปตามกระแสเลือดสู่อวัยวะอื่น ทำให้เกิดภาวะลุกลาม ซึ่งแพทย์แทบไม่มีวิธีต่อกรด้วยเลย

ฐานข้อมูลแผนที่มะเร็ง

ปัจจุบันเรามีข้อมูลสาธารณะมหึมาช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแบ่งปันความรู้เรื่องมะเร็งได้ ฐานข้อมูลนี้ประกอบไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับวิธีกลายพันธ์แบบต่างๆ ส่งผลกับเซลล์มะเร็งอย่างไร และวิธีนับพันๆวิธีที่โปรตีนจะมาทำงานร่วมกัน

ความรู้สะสมนี้ทำให้วิเคราะห์พฤติกรรมมะเร็งได้ในรายละเอียด นักวิทยาศาสตร์จึงต่อสู้กับโรคที่ร้ายแรงและเอาชนะได้ แม้ว่าเซลล์มะเร็งจะพัฒนาลักษณะใหม่ๆที่ทรหดขึ้นก็ตาม

การใช้ยาเพื่อรักษามะเร็ง

ในปี 1999 มียาชนิดใหม่ที่ดูดี ทำให้ก้อนมะเร็งในหนูทดลองหยุดเติบโตยานี้มีชื่อว่า SPI-77 มีประสิทธิภาพการรักษามากกว่าการใช้ยาเคมีบำบัดปกติและมีผลข้างเคียงน้อยกว่าด้วย

ไม่นานผู้ผลิตก็ใช้เงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อทดสอบยานี้ในคน แต่การทดลองต้องหยุดลงอีกครั้ง เพราะ SPI-77 แทบไม่มีผลอะไรเลยและต่อมาก็ถูกยกเลิกและลืมกันไป

ยารักษามะเร็งใหม่ๆอีกกว่า 95% ในแต่ละปีก็ประสบชะตากรรมแบบเดียวกันนี้เมื่อนำมาทดลองกับมนุษย์ แม้แต่ยาที่ได้รับการอนุมัติแล้วก็ยังมีผลจำกัด แต่ยาที่รักษาสภาวะอื่นๆเช่น การติดเชื้อกลับประสบความสำเร็จในมนุษย์กว่ามาก

เซลล์มะเร็งนั้นมีความสามารถเหลือเชื่อ ในการหลบหลีกทุกสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ใช้เพื่อโจมตีมัน ทำให้โรคนี้สังหารคนไปราวปีละกว่า 8 ล้านคน จำนวนนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆและนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ยอมแพ้

ในแต่ละปีมีคนเสียชีวิตจากโรคมะเร็งจำนวนมาก

ทุกๆวินาทีเซลล์นับพันล้านในร่างกายของคุณทำงานหนักเพื่อให้คุณมีชีวิตอยู่ พวกมันแบ่งตัวผลิตโปรตีนมากมาย สื่อสารระหว่างกัน รวมทั้งฆ่าตัวตายเพื่อให้ส่วนรวมคงอยู่

แต่แม้มีงานมากนับไม่ถ้วน กลไกของร่างกายก็มักทำงานได้ราบรื่นอย่างน่าประหลาดใจ แต่ลึกลงไปในระดับเซลล์ ที่จริงแล้วกลับมีข้อบกพร่องมากมายเกิดขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ใหญ่หลวงต่อร่างกายส่วนที่เหลือได้

เมื่อเซลล์หนึ่งกำลังจะแบ่งตัว มันจะทำสำเนา DNA ของตัวมันเอง ทำให้เกิดเป็นเซลล์ลูก 2 เซลล์ แต่กระบวนการนี้มักจะผิดพลาด โชคดีที่เซลล์มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ

เซลล์กำลังแบ่งตัว

ซึ่งปกติแล้วจะซ่อมแซมความผิดพลาดนี้ทันทีที่เกิดขึ้น แต่สารเคมีหรือรังสีจากภายนอกบางอย่างอาจจะก่อให้เกิดความผิดพลาดจนเซลล์ไม่สามารถแก้ไขได้ ผลลัพธ์ก็คือ สำเนาDNA ที่เซลล์ส่งผ่านไปยังรุ่นลูกๆนั้นมีความเสียหาย นำไปสู่การกลายพันธุ์ด้วย

ส่วนใหญ่แล้วความเสียหายนี้ไม่เป็นอันตราย แต่บางกรณีมันจะส่งผลต่อยีนที่เข้ารหัสโปรตีนสำคัญๆ การกลายพันธุ์อาจเปลี่ยนพฤติกรรมของโปรตีน

ทำให้ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ไม่ได้ เซลล์มีมาตรการรักษาความปลอดภัยในรูปของโปรตีนที่ไปชะลอการแบ่งตัว แต่ถ้ามันกลายพันธุ์ด้วย เซลล์ก็จะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง มันจะแบ่งตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดเป็นก้อนเซลล์หรือเนื้องอกซึ่งอาจทำลายอวัยวะที่มันอยู่ได้

การเติบโตไม่หยุดยั้งยังแปลว่า เซลล์มะเร็งอาจสร้างความผิดพลาดมากขึ้นได้ด้วยขณะที่มันแบ่งตัว ดังนั้นจึงอาจเกิดการกลายพันธุ์ใหม่ๆขึ้นได้ตลอดเวลา

นั่นแปลว่าเซลล์จะมีความสามารถใหม่ๆทำให้มันแพร่ลามไปยังอวัยวะอื่นๆได้ เซลล์ที่แพร่ลามรุนแรงทำให้อวัยวะล้มเหลวต่อเนื่องจนในที่สุดก็สังหารร่างกายที่มันถือกำเนิดขึ้นมา

ก๊าซพิษคือยามะเร็งแรก

แก๊สพิษถูกใช้รักษามะเร็งในอดีต

นักวิทยาศาสตร์พบหลักฐานเนื้องอกในกระดูกของไดโนเสาร์อายุ 70 ล้านปี และพบอยู่ในมนุษย์อายุ 120,000 ปี ดังนั้นมะเร็งจึงไม่ใช่โรคใหม่ การหาวิธีรักษาเกิดขึ้นแล้วอย่างน้อยพันปี ชาวกรีกโบราณได้ทดลองกำจัดมะเร็งเต้านมด้วยวิธีผ่าตัดแบบโบราณ

อีก 14 ปีต่อมาก็ได้นำเทคโนโลยีใหม่มาทดลองใช้ เมื่อแพทย์ฝรั่งเศสยิงแสงเอ็กซเรย์เข้าไปในเนื้องอกของผู้ป่วย การรักษาทั้ง สองแบบมีประสิทธิภาพกำจัดเนื้องอกได้ 50% 

แต่ยังไม่ใช่วิธีที่จะรักษาได้หายขาด ทั้งยังไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยและอันตรายอีกด้วย ต่อมาจึงค้นพบว่ารังสีเอ็กซ์ทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงอย่างหนึ่งก็คือ มะเร็ง

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 อาวุธที่ใช้ต่อสู้กับมะเร็งเกิดขึ้นอย่างน่าประหลาดใจนั่นคือก๊าซมัสตาร์ด ในสนามรบก๊าซนี้สังหารคนไปเกือบ 90,000 คนและทำให้มีผู้บาดเจ็บมากกว่าล้านแต่มันมีความลับทางการรักษาอยู่ด้วย

เมื่อแพทย์ทำการตรวจผู้รอดชีวิต กลับพบว่าเลือดของผู้ป่วยนั้นมีเซลล์เม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติ อีกไม่กี่ทศวรรษถัดมาการค้นพบนี้ก็นำมาสู่การทดลองใช้ก๊าซกับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ใช้ก๊าซกับผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

มะเร็งชนิดนี้เกิดขึ้นในเซลล์เม็ดเลือดขาวของระบบน้ำเหลือง ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหรือฉายแสงก็ไม่อาจกวาดล้างเซลล์มะเร็งที่แพร่ลามรุนแรงนี้ได้ มันหนีและกระจายตัวไปยังร่างกายส่วนอื่นๆ

ปี 1942  ผู้ป่วยได้รับการฉีดสารออกฤทธิ์จากก๊าซมัสตาร์ดชุดแรกเข้าไป อีก 10 วันให้หลังเนื้องอกทั้งหมดก็หายไป และได้พัฒนาการรักษาด้วยยาเคมีครั้งแรกขึ้นมา เป็นการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัดหรือฉายแสง แต่ใช้สารเคมีฆ่าเซลล์เนื้องอกแทน

อย่างไรก็ตาม การรักษานี้ยังไม่สมบูรณ์แบบเท่าไหร่นัก ยาเคมีทำให้คนไข้มีอาการป่วยหนักและอีก 1 เดือนให้หลังมะเร็งก็เริ่มกลับมาอีก เมื่อแพทย์ใช้วิธีเดิมรักษาอีกครั้งร่างกายของผู้ป่วยก็ไม่สามารถรับผลข้างเคียงไหว ไม่นานนักคนไข้ก็จะเสียชีวิต

นักวิทยาศาสตร์ “ห่อ”ยา

ปัจจุบันการผ่าตัด ฉายแสง และทำเคมีบำบัด ยังเป็นวิธีรักษามะเร็งโดยทั่วไปอยู่ วิธีเหล่านี้พัฒนาจากเดิมมามากแล้ว แต่จุดอ่อนดั้งเดิมก็ยังคงอยู่ การผ่าตัดและฉายแสงไม่สามารถกำจัดมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ถ้ามะเร็งแพร่ลุกลามแล้ว และแม้เคมีบำบัดจะส่งผลต่อเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย แต่ก็มีผลข้างเคียงรุนแรง เพราะมันจะฆ่าเซลล์ดีๆด้วย

ในความพยายามที่จะปกป้องเซลล์ดีๆของร่างกาย นักวิทยาศาสตร์ชาวอิสราเอล ได้พัฒนาวิธีใหม่ในการนำยาไปสู่เซลล์มะเร็ง พวกเขาใช้ยาเคมีบำบัด doxorubicin

การรักษามะเร็งด้วยเคมีบำบัดที่ห่อด้วยไลโปโซม

ที่ห่ออยู่ในลูกบอลไขมันเล็กๆที่เรียกว่าไลโปโซม มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 100 นาโนเมตรและทดสอบในสัตว์ทดลอง เมื่อลูกบอลจิ๋วไหลเข้าสู่เลือด ยาจะถูกซ่อนเอาไว้อย่างปลอดภัย จึงไม่มีผลกับเซลล์ดี

ยาจะถูกลำเลียงไปยังเนื้องอกแล้วฆ่าเซลล์มะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ ไลโปโซมสามารถเข้าถึงเซลล์มะเร็งได้ผ่านทางเส้นเลือดที่ป่วยและรั่วรอบๆเนื้องอก ภายในเนื้องอก ยาเคมีจะรั่วออกมาจากไลโปโซมและส่งผลต่อเซลล์มะเร็ง

ในการจัดการให้ลูกบอลจิ๋วนี้มีประสิทธิภาพที่สุดก่อนที่จะทดลองกับมนุษย์แล้วประสบความสำเร็จ ไลโปโซมนี้ทำให้เกิดผลข้างเคียงน้อยลงกว่าเคมีบำบัดแบบเดิม

และได้รับการอนุมัติให้ใช้ในยุโรปและอเมริกาในชื่อว่า Calyx และ doxil ความสำเร็จของ Calyx กระตุ้นให้เกิดพัฒนาการของไลโปโซมชนิดใหม่ที่อาจจะนำมาใช้ต่อต้านมะเร็งชนิดอื่นๆได้ ซึ่งจะฆ่าเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยาที่มีแววถูกทิ้ง

SPI-77  เป็นหนึ่งในยาที่มีแววว่าจะรักษาได้คล้าย Calyx นั่นคืออยู่ในลูกบอลไขมันจิ๋ว แต่ว่าข้างในไม่ได้มี Doxorubicin SPI-77 แต่กลับมีซิสพลาตินอยู่

มันได้ผลดีมากในการกำจัดเซลล์มะเร็ง แต่ก็ทำให้เกิดผลข้างเคียงหลายๆอย่าง นักวิทยาศาสตร์หวังจะใช้ไลโปโซมเพื่อนำยาตรงไปยังเซลล์มะเร็งและทำลายเนื้องอกโดยไม่ให้เป็นอันตรายกับผู้ป่วย

เทคโนโลยีที่ช่วยรักษามะเร็งให้กับผู้ป่วย

แต่อีก2-3ปีต่อมา เมื่อนำ SPI-77 มาทดสอบกับผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด ไลโปโซมกลับทำงานได้แย่กว่าการใช้เคมีบำบัดแบบเดิม ในผู้ป่วย 29 ราย ไม่มีรายใดได้รับผลดีเพิ่มขึ้นจากยาเลย

แต่กระนั้น SPI-77 ก็ไม่ถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าการทดลองในสัตว์แบบนี้อาจจะให้ผลไม่เหมือนกับในมนุษย์ เซลล์มะเร็งปอดที่เติบโตตรงต้นขาจะไม่มีอะไรเหมือนเซลล์มะเร็งปอด

นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังผิดพลาดด้วย เพราะไปทดสอบกับเนื้องอกตอนที่มันยังใหม่และมีขนาดเล็ก ในขณะที่มนุษย์มักจะได้รับการวินิจฉัยมะเร็งก็ต่อเมื่อมันมีขนาดค่อนข้างใหญ่แล้ว

การเลือกใช้ SPI-77 เพื่อทดลองอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดด้วยเพราะมันคือไลโปโซม จึงเข้าถึงเซลล์มะเร็งได้ยาก ถ้าหากเส้นเลือดที่ส่งไปถึงไม่ได้อ่อนแอและรั่ว

ซึ่งเนื้องอกจำนวนมากมีเส้นเลือดที่สุขภาพดี ไม่เป็นรู ผู้ป่วยที่มีเนื้องอกลักษณะนี้ก็จะไม่ได้รับประโยชน์มากเท่าไรจากการรักษาด้วยไลโปโซม แต่ถ้าเลือกผู้ป่วยที่มีเส้นเลือดรั่ว SPI-77 ก็อาจจะช่วยให้มีโอกาสฆ่าเซลล์มะเร็งได้มากขึ้น

การสร้างเนื้องอกในห้องแล็ป

หลังจากนั้นมา นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างเนื้องอกในแลปที่คล้ายคลึงเนื้องอกของผู้ป่วยแบบนี้ได้มากขึ้น ทั้งยังพัฒนาวิธีใหม่ๆ ซึ่งทำนายได้แม่นยำขึ้นว่าผู้ป่วยจะตอบสนองต่อการรักษาเฉพาะอย่างไรถึงจะดีที่สุด

การพัฒนานี้แปลว่านักวิทยาศาสตร์จะประเมินได้ดีขึ้นว่ายาชนิดไหนมีผลต่อมนุษย์จริงๆ และเลือกผู้ป่วยมะเร็งที่จะได้ประโยชน์จากวิธีการนั้นๆ ยิ่งไปกว่านั้นนักวิทยาศาสตร์ก็ยังได้คิดค้นวิธีรักษาใหม่ๆ ที่ก้าวหน้าจนคิดไม่ถึงในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา

ปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วย

ปี 2017  ทางการสหรัฐรับรองวิธีรักษาใหม่อย่างรวดเร็วเป็นวิธีที่เรียกว่า คิมเรีย ซึ่งกำจัดมะเร็งต่างๆได้ในผู้ป่วยถึง 83% โดยเป็นผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีเก่าๆแล้วไม่ได้ผล

คิมเรีย คือเซลล์ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยนั่นเองซึ่งสกัดออกมาจากเลือด หลังจากนั้นก็ทำการตัดต่อยีนใหม่ใส่เข้าไปทำให้มันรู้ว่าเซลล์ไหนคือเซลล์มะเร็ง

รักษามะเร็งด้วยวิธีคิมเรีย

จากนั้นก็ฉีดเซลล์ภูมิคุ้มกันกลับเข้าไปในผู้ป่วย มันจะตรงเข้าไปหาเนื้องอกแล้วโจมตี การรักษาแบบนี้มีประสิทธิภาพมากจนสื่อทั่วโลกยกย่องว่าเป็นเหมือนเรื่องมหัศจรรย์ทางการแพทย์

อย่างไรก็ตามคิมเรียไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นทางตันเช่นเดียวกับไลโปโซม นักวิทยาศาสตร์เรียนรู้ถึงจุดอ่อนของการรักษาและชีววิทยาของมะเร็งเพิ่มขึ้นในทุกๆวัน พวกเขาใช้ความรู้เพื่อพัฒนาวิธีใหม่ และทำให้วิธีเดิมดีขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากยังทำให้นักวิทยาศาสตร์ก้าวไกลไปกว่าที่เคยด้วย เทคโนโลยีหนึ่งจากบริษัทของอเมริกา ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์กับปัญญาประดิษฐ์ AI ทำให้สามารถค้นหายาใหม่ๆเพื่อต่อต้านมะเร็งและโรคอื่นๆได้

ระบบนี้สามารถตรวจจับข้อมูลมหาศาลจากห้องปฏิบัติการและโรงพยาบาลทั่วโลก เข้าไปดูในยีนของเซลล์มะเร็ง ตรวจสอบโครงสร้างทางเคมีของยาที่มีอยู่ และสำรวจการทดลองกับสัตว์และมนุษย์ที่มี

การแพทย์พยายามต่อสู้กับโรคมะเร็ง

หลังจากวิเคราะห์อย่างหนักแล้วระบบจะบอกจุดอ่อนของเซลล์มะเร็ง และเสนอแนะยารักษาที่ดีที่สุดให้ กระบวนการนี้อาจใช้เวลานานหลายปี แต่ในไม่ช้าบรรดาแพทย์ก็จะมีอาวุธที่มีประสิทธิภาพเพื่อต่อสู้กับโรคมะเร็งจนชนะ

จะเห็นได้ว่า ท้ายที่สุดแล้วการรักษาก็มาถึงระบบภูมิคุ้มกันที่ยอดเยี่ยมภายในร่างกายของเรา วิธีที่มาจากภายนอกไม่ว่าจะฉายแสง หรือเคมีบำบัดฯก็ยังไม่ใช่คำตอบ

นั่นแปลว่า ณ วันนี้ที่เรายังต้องรอนวตกรรมดังกล่าวอยู่ สิ่งที่เราทำได้ก็คือ การป้องกันเสียแต่เริ่มแรกโดยการเสริมดเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย

ดูแลสุขภาพให้ดีเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง

รวมถึงหมั่นตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเจอในระยะก่อนลุกลาม นี่แหล่ะคือ การคุมกำเนิดและกำจัดมะเร็งร้ายทั้งหลายให้อยู่หมัดนั่นเอง

อาหารเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน นูทริก้า Nutriga

ชะลอวัย สุขภาพดี ด้วยเอนไซม์ S.O.D

บทความน่าสนใจ

error: do not copy content!!