
ลำไส้ คือสมองที่ 2 ของร่างกาย
ถือเป็นอวัยวะที่น่าอัศจรรย์มากเพราะทำงานได้อย่างเป็นเอกเทศโดยไม่ต้องอาศัยคำสั่งจากสมอง เช่น ถ้าร่างกายได้รับอุบัติเหตุจนสมองตาย หรือไขสันหลัง ซึ่งทำหน้าที่รับคำสั่งจากสมองส่งต่อไปอวัยวะส่วนอื่นได้รับบาดเจ็บ
ลำไส้ ก็ยังคงทำงานได้ตามปกติ แต่ถ้าสมองหยุดทำงานในช่วงเวลาสั้นๆแค่ไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมง หัวใจและปอด อวัยวะอื่นก็จะหยุดทำงานตาม และเสียชีวิตตามมา แปลว่าหัวใจและปอดทำงานโดยรับคำสั่งจากสมอง
ซึ่งต่างจากลำไส้ที่ถ้ามีอุปกรณ์ช่วยชีวิต ทำให้เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสภาพสมองตาย ก็จะยังคงทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารและขับของเสียได้เหมือนเดิม
ความเป็นเอกเทศนี้เองทำให้ลำไส้ถูกเรียกว่าเป็นสมองที่ 2 หลังจากทำความเข้าใจแล้วก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความลงตัวและความอัศจรรย์เข้าไปอีกเช่น เมื่ออาหารที่มีสารอาหารหลายชนิดทั้งโปรตีนไขมันและคาร์โบไฮเดรตเข้าสู่ลำไส้พร้อมๆกัน
และจะคัดแยกสารอาหารเหล่านี้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจะย่อยและดูดซึมสารอาหารส่งไปยังอวัยวะต่างๆ ขณะเดียวกันถ้ามีสิ่งที่เป็นโทษต่อร่างกายเข้าสู่ลำไส้ จากนั้นก็จะส่งข้อมูลไปยังระบบภูมิคุ้มกัน เป็นเหตุให้เกิดอาการท้องเสียเพื่อขับพิษออกจากร่างกาย การคัดแยกและตอบสนองอย่างรวดเร็วเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า “ลำไส้สามารถตัดสินและวิเคราะห์สถานการณ์ได้เองโดยไม่ต้องผ่านสมอง”
จากนั้นจึงสั่งการไปยังอวัยวะที่เกี่ยวข้องหรือระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายต่อไป
ไม่นานมานี้นักประสาทวิทยาชาวอเมริกันที่พิสูจน์ว่าลำไส้คือสมองที่ 2 ก็พบว่าภายในยังมีเซโรโทนินที่เป็นสารสื่อประสาทชนิดเดียวกันกับในสมองอยู่มากถึง 95% ของเซโรโทนินทั้งหมดในร่างกาย
วิวัฒนาการของมนุษย์ช่างน่าอัศจรรย์มาก บรรพบุรุษของเราเริ่มวิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลล์เดียวอย่างอะมีบา จนกลายพันธุ์มาเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลัง สมองและลำไส้ต่างพัฒนาเป็นสมองที่มีความรู้สึกคนละส่วน
ดูจะเหลือเชื่อที่อวัยวะชิ้นนี้จะมีความเฉลียวฉลาดกว่าหัวใจแถมยังเต็มไปด้วยความรู้สึก และยังเป็นเพียงอวัยวะเดียวที่สามารถตอบสนองได้โดยไม่ต้องรับคำสั่งจากสมองและไขสันหลัง
ระบบประสาทอัตโนมัติ
แบ่งออกเป็น ระบบประสาทซิมพาเทติก กับ ระบบพาราซิมพาเทติก โดยระบบประสาทซิมพาเทติกจะทำงานเมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะตื่นเต้นดีใจ เช่น รู้สึกกลัวหรือตอนออกกำลังกายหัวใจจะเต้นเร็ว
ในทางกลับกัน ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจะทำงานเมื่อร่างกายอยู่ในสภาวะผ่อนคลาย เช่น ขณะพักผ่อนหรือนอนหลับ อุณหภูมิร่างกายจะสูงขึ้นเพราะเส้นเลือดฝอยขยายตัว
เมื่อระบบประสาทซิมพาเทติกทำงาน ความดันโลหิตจะสูงขึ้นอวัยวะต่างๆจะถูกกระตุ้น มีเพียงกระเพาะและลำไส้เท่านั้นที่ลดการทำงาน การที่เรามักง่วงหลังมื้ออาหารก็เป็นผลจากการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติกที่กระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงาน
และยับยั้งอวัยวะอื่นๆนั่นเอง เท่ากับว่าอวัยวะต่างๆจะถูกยับยั้งการทำงานด้วยสัญญาณจากสมองที่สองนั่นเอง
นักภูมิคุ้มวิทยาพบว่าเมื่อระบบประสาทซิมพาเทติกทำงาน เม็ดเลือดขาวชนิด granulocyte จะถูกกระตุ้น แต่ถ้าระบบพาราซิมพาเทติกทํางาน เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์จะถูกกระตุ้น
ซึ่งโดยปกติลิมโฟไซต์ 60-70เปอร์เซ็นต์จะอยู่ในลำไส้ แปลว่าการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันก็ขึ้นอยู่กับสมดุลของระบบประสาทด้วย ร่างกายของเราจะต้องรักษาสมดุลของการทำงานอย่างสอดคล้องกัน
ระหว่างระบบประสาทซิมพาเทติกและพาราซิมพาเทติก ถ้าระบบประสาทชนิดใดชนิดหนึ่งทำงานติดต่อกันนานเกินไปก็จะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้
เราจะรักษาสมดุลระบบประสาทได้อย่างไร?
คำตอบ ใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบเป็นไปตามจังหวะธรรมชาติ ทำงานเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น พักผ่อนเมื่อดวงอาทิตย์ตก นั่งพักสักครู่หลังอาหาร คนโบราณใช้ชีวิตตามจังหวะของธรรมชาติเช่นนี้มาหลายพันปีแล้ว
การทำงานของอวัยวะต่างๆและระบบภูมิคุ้มกันต่างก็วิวัฒนาการมาจากวัฏจักรดังกล่าว แต่วิถีชีวิตของคนในปัจจุบันกลับละเลยกฎธรรมชาติ กินนอนไม่เป็นเวลา ออกกำลังกายหักโหมหรือไม่เพียงพอ
เครียดจัดทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติเสียสมดุล เราจึงควรทำความเข้าใหม่ว่า เราเนี่ยเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ หากฝืนกฎธรรมชาติก็จะมีสุขภาพแข็งที่แข็งแรงได้ยาก เคล็ดลับสุขภาพที่แข็งแรงมีพื้นฐานอยู่บนการใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบและเป็นไปตามกฎธรรมชาตินั่นเอง
ประวัติส่วนตัวที่เก็บอยู่ในยีน
ร่างกายของเราเป็นศูนย์รวมของเซลล์กว่า 60 ล้านล้านเซลล์และจุลินทรีย์จำนวนนับไม่ถ้วน เซลล์แต่ละเซลล์จะมีแผนผังชีวิตที่เรียกว่าหน่วยพันธุกรรมหรือยีน
ในแผนผังชีวิตนี้จะเก็บประวัติส่วนตัวที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นไว้ ประวัติส่วนตัวของมนุษย์ถูกเก็บไว้ในยีนมานานหลายล้านปี โดยมีต้นกำเนิดมาจากสัตว์เซลล์เดียว วิวัฒนาการเป็นสัตว์หลายเซลล์
กลายเป็นสัตว์บก สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และสัตว์ที่เฉลียวฉลาดอย่างลิงจนในที่สุดก็วิวัฒนาการเป็นมนุษย์
หลังจากไข่ได้รับการผสมกับอสุจิ จะแบ่งตัวอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นตัวอ่อน ประวัติส่วนตัวก็จะถูกถ่ายทอดจากข้อมูลมากมายที่อยู่ในยีนถ้าจะกล่าวว่าข้อมูลทั้งหมดที่ใช้ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ถูกเก็บไว้อยู่ในยีนส์ก็คงไม่เกินจริง
การที่เซลล์สร้างเอนไซม์ได้ก็นำขั้นตอนมาจากข้อมูล วิธีการสร้างเอนไซม์ที่ถูกเก็บอยู่ในยีนนั้นเอง ข้อมูลในยีนถูกบันทึกด้วยการเรียงตัวของเบส 4 ชนิดได้แก่ adenine thymine cytosine และguanine
โดยจะจับกันเป็นคู่เรียกว่าเบสคู่สม คล้ายกับข้อมูลมากมายในคอมพิวเตอร์ที่ถูกบันทึกด้วยระบบเลขฐานสองโดยใช้รหัสเพียง 0 กับ1 แค่นั้น แต่ข้อมูลในยีนจะถูกจัดเรียงด้วยเบสมากถึง 4 ชนิด
จึงไม่น่าแปลกใจที่มีจำนวนรหัสมากมายมหาศาล สายดีเอ็นเอของมนุษย์มีแบบคู่สมมากถึง 3 พันล้านคู่ มีเพียงฝาแฝดจากไข่ใบเดียวกันเท่านั้นที่จะมีข้อมูลได้ยินเหมือนกันทุกอย่าง
เซลล์ทั้งหมดในตัวเราล้วนมียีนที่เหมือนกัน ดังนั้นเซลล์ทุกเซลล์ก็จะมีข้อมูลเหมือนกัน ถ้าสังเกตร่างกายเราจะพบว่าเซลล์ของกระดูกกล้ามเนื้อ ผิวหนัง เล็บและผม มีการทำงานที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ทำไมเซลล์ที่มีข้อมูลพันธุกรรมเดียวกันจึงทำงานต่างกัน?
จากการค้นคว้าพบว่า ข้อมูลทางพันธุกรรมมหาศาลในตัวคนเรานั้น ถูกนำออกมาใช้แค่ 3-10%เท่านั้น เซลล์ทุกเซลล์มีข้อมูลเดียวกัน แต่ทำงานคนละหน้าที่
เช่น เล็บก็จะมีเซลล์ของเล็บที่เปิดการทำงานในส่วนที่เป็นเล็บเท่านั้น ส่วนหน้าที่อื่นๆจะถูกปิดไว้ ความสามารถปิดและเปิดการทำงานของยีน ไม่ได้ถูกกำหนดตายตัวตลอดไป จะสามารถเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยแวดล้อมหรืออารมณ์ความรู้สึกได้
ประเด็นก็คือ “การสับสวิตซ์ปิดเปิดหน้าที่แต่ละอย่างในยีนจำเป็นต้องใช้เอ็นไซม์ ” ความสัมพันธ์ระหว่างยีนและเอ็นไซม์ค่อนข้างใกล้ชิดและซับซ้อน
ยีนมีข้อมูลสำหรับการสร้างเอนไซม์และการอ่านข้อมูลในยีนจำเป็นต้องอาศัยเอนไซม์ และไม่ว่ายีนหรือเอ็นไซม์ต่างก็ยังมีข้อมูลเชิงลึกที่ยังอธิบายไม่ได้เหมือนปัญหาไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน?
การถอดรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ได้ประสบความสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้และพบว่ามนุษย์มียีนมากถึง 30,000-40,000 แต่มีเพียง 2-3 เปอร์เซ็นต์ที่เราสามารถยืนยันหน้าที่ที่แท้จริงได้
ส่วนที่เหลืออีก 97%ข้อมูลยังไม่แน่ชัด ซึ่งความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ของเอ็นไซม์ก็ไม่ต่างกัน คาดว่าเอ็นไซม์ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเรามีอยู่ 3000-5000 ชนิด ซึ่งก็ยังไม่รู้แน่ชัดทั้งหมดว่าแต่ละชนิดทำหน้าที่อะไร
ตัวเลขนี้เป็นเพียงเอนไซม์ในมนุษย์เท่านั้น สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตบนโลกล้วนมีเอนไซม์รวมถึงจุลินทรีย์จึงเป็นเรื่องยากที่จะนับได้หมดว่าในโลกมีเอนไซม์ทั้งหมดกี่ชนิด
เอ็นไซม์ที่สร้างจากแบคทีเรียในลำไส้มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการสับสวิตซ์เปิดปิดหน้าที่หรืออ่านข้อมูลในยีน แม้ว่าจะมีข้อมูลหลายส่วนในยีนและเอนไซม์ที่เรายังไม่รู้
แต่การสร้างเอนไซม์จำเป็นต้องใช้ข้อมูลจากยีน การอ่านข้อมูลจากยีนจำเป็นต้องใช้เอนไซม์ และเอนไซม์ก็เป็นสิ่งจำเป็นในการปิดเปิดการทำงานของยีน
ความสัมพันธ์ระหว่างยีน เอนไซม์ และจุลินทรีย์
จากที่กล่าวไปแล้วเกี่ยวกับหน้าที่ของกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ หน้าที่หลักของกระเพาะอาหารคือย่อยอาหาร โดยจะหลั่งของเหลวที่มีฤทธิ์เป็นกรดเรียกว่าน้ำย่อยออกมาย่อยอาหาร
ในน้ำย่อยนี้จะมีเปปซินซึ่งเป็นเอ็นไซม์ย่อยโปรตีน เพื่อให้อาหารอยู่ในสภาพย่อยและดูดซึมไปใช้งานได้ง่าย กระเพาะจะมีบทบาทในการดูดซึมสารอาหารน้อยมาก
ภายในกระเพาะมีสภาพเป็นกรดและเต็มไปด้วยเอนไซม์ย่อยโปรตีน แต่กระเพาะจะไม่ถูกย่อยเพราะผนังด้านในบุด้วยเยื่อเมือก ฉะนั้นคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ทำให้มีเยื่อบุผนังกระเพาะบางกว่าปกติเมื่อเยื่อเมือกถูกทำลาย
ผนังกระเพาะก็จะเสียหายตามไปด้วย จนกลายเป็นแผลในกระเพาะอาหาร เนื้องอก และมะเร็งในที่สุด
ส่วนที่ทำหน้าที่หลักในการดูดซึมสารอาหารคือลำไส้เล็ก โดยจะหลั่งน้ำย่อยออกมาย่อยอาหารจนมีขนาดเล็กพอที่ผนังจะสามารถดูดซึมไปได้
ที่น่าสนใจคือสภาพในกระเพาะมีฤทธิ์เป็นกรด แต่สภาพภายในลำไส้กับมีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆ การปรับสภาพอาหารจากกรดเป็นด่างต้องอาศัยน้ำย่อยจากตับอ่อนที่อยู่บริเวณลำไส้เล็กตอนต้น
เมื่ออาหารเคลื่อนที่จากกระเพาะมายังลำไส้เล็กน้ำย่อยจากตับอ่อนที่มีฤทธิ์เป็นด่างสูงจะไหลเข้ามายังลำไส้เล็กตอนต้นและผสมกับกรด หลังจากนั้นอาหารที่จะเข้าสู่ลำไส้เล็กก็จะมีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆ
แต่ถ้าน้ำย่อยในตับอ่อนมีน้อย เยื่อบุลำไส้เล็กไปจะถูกกรดกัดกร่อนจนเกิดแผลได้ นอกจากนี้ถ้าเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารภายในลำไส้เล็กทำงานได้ไม่เต็มที่ ร่างกายก็จะมีสภาพค่อนไปทางกรด
หน้าที่หลักของลำไส้เล็กคือย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหาร การย่อยต้องอาศัยเอนไซม์ ส่วนการดูดซึมต้องใช้วิลลัสหรือขนเล็กๆที่ยื่นออกมาทั่วผนังลำไส้เหมือนกับขนบนพรมยาวประมาณ 1 มิลลิเมตร
ผิวหน้าของวิลลัสจะมีขนเล็กๆเรียกว่าไมโครวิลไลทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหาร วิลลัสจะช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวภายในลำไส้เล็กได้มากถึง 600 เท่า จึงมีคำเปรียบเปรยว่าหากนำลำไส้เล็กของคนเราออกมาแผ่จะได้พื้นที่ใหญ่พอๆกับสนามเทนนิสเลย
ภายในวิลลัสจะมีเส้นเลือดและท่อน้ำเหลือง โดยการดูดซึมกลูโคสและกรดอะมิโนจะผ่านทางเส้นเลือด ส่วนกรดไขมันและกลีเซอไรด์จะถูกดูดซึมผ่านท่อน้ำเหลืองเพื่อส่งไปทั่วร่างกาย
จุลินทรีย์ในลำไส้จะอาศัยอยู่ตามซอกรอยพับของวิลลัส โดยจะช่วยหลั่งเอนไซม์ที่จำเป็นหรือทำให้อาหารเน่าเสียก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นจุลินทรีย์ชนิดใด
ตับอ่อนจะรู้ได้อย่างไรว่าอาหารเดินทางจากกระเพาะมาถึงลำไส้แล้ว? รู้ได้อย่างไรว่าต้องเตรียมน้ำย่อยมากน้อยแค่ไหน? แยกแยะสารอาหารเพื่อจัดเอนไซม์ในการย่อยอาหารแต่ละชนิดได้อย่างไร?
ทุกวันนี้เราไม่รู้ว่าลำไส้ทำงานที่ซับซ้อนเหล่านี้ได้ยังไง แต่น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเซลล์และจุลินทรีย์แน่ๆ
จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในลำไส้จะรับรู้สภาพภายในได้ดีกว่าเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ การหลั่งเอ็นไซม์ย่อยอาหารภายในลำไส้ล้วนอาศัยจุลินทรีย์เหล่านี้ เซลล์เยื่อบุผนังลำไส้ก็ต้องหลั่งเอ็นไซม์เช่นกัน
แต่จะรู้ถึงชนิดและปริมาณได้ไม่มากเท่าจุลินทรีย์ อีกทั้งปริมาณเอ็นไซม์ที่มีในร่างกายและสภาพร่างกายในขณะนั้น ก็มีผลต่อปริมาณเอ็นไซม์ที่เซลล์จะหลั่งออกมาอีกด้วย
ฉะนั้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างจุลินทรีย์และเซลล์ในร่างกายจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย การที่ลำไส้สามารถทำงานซับซ้อนได้ก็เพราะอาศัยกลไกนี้
จุลินทรีย์ในลำไส้และเซลล์ในร่างกายจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินว่าจะต้องหลั่งเอนไซม์ในปริมาณเท่าใดให้เหมาะสมกับสภาวะนั้นๆ และส่งข้อมูลไปยังยีนในเซลล์แล้วค่อยผลิตเอ็นไซม์ออกมา
ลำพังการแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในลำไส้เองไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ทั้งหมดของร่างกายได้ แต่ทุกส่วนในร่างกายเรามีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง จมูกปาก ช่องคลอด ระบบทางเดินอาหาร
จุลินทรีย์เหล่านี้จะเป็นปราการด่านแรกที่ทำหน้าที่ช่วยเก็บข้อมูล ข้อมูลที่ได้จากจุลินทรีย์ส่วนต่างๆจะถูกส่งไปยังเซลล์ก่อน จากนั้นจึงค่อยผ่านออกจากเซลล์โดยอาศัยของเหลวนำข้อมูลเหล่านั้นส่งต่อไปยังลำไส้
แล้วจึงส่งสารอาหารไปทั่วร่างกาย การแลกเปลี่ยนข้อมูลดังกล่าวนอกจากจะเกิดขณะมีการย่อยและดูดซึมสารอาหารแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันยังแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภูมิคุ้มกันด้วย
“การแลกเปลี่ยนข้อมูล3 ฝ่ายระหว่างยีน เอนไซม์กับ และจุลินทรีย์จึงมีส่วนร่วมในการควบคุมดูแลสุขภาพของเรา”
ลำไส้มีความสำคัญต่อสุขภาพของเรามากกว่าที่คิด เราควรดูแลทั้งอาหารการกิน ขับถ่ายให้ปกติ อย่าปล่อยให้ท้องผูกบ่อยๆหรือนานๆ ดีท็อกบ้าง เพื่อให้ระบบต่างๆของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
บทความที่น่าสนใจ