
วิธีแก้รูขุมขนกว้าง และลดฝ้า
เทคนิคง่ายๆสำหรับคนที่มีปัญหารูขุมขนกว้างที่ใบหน้า หลายคนอาจเข้าใจว่าการที่เรามีรูขุมขนกว้าง(ใหญ่)ก็น่าจะมีสภาพผิวมัน
แต่เอาเข้าจริงๆพอไปตรวจสภาพผิวหน้าตามบูธหรือคลินิกต่างๆผลลัพธ์กลับมีสภาพเป็นผิวแห้ง ซึ่งเป็นผิวที่จะแพ้ได้ค่อนข้างง่ายมาก…
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าปัจจุบันยังไม่มีวิธีใดที่จะลดขนาดรูขุมขนได้อย่างถาวร.. แต่การดูแลผิวหนังบางอย่างอาจทำให้รูขุมขนเล็กลงชั่วคราวได้
สำหรับ ‘วิธีแก้รูขุมขนกว้าง’ โดยทั่วไปแล้วจะยึดการทำให้ผิวหนังแห้งเป็นหลัก เพราะผิวหนังเมื่อมีความชุ่มชื้น ชั้นขี้ไคลอุ้มน้ำอิ่มตัวจะบวมและทำให้รูขุมขนแลดูโตขึ้น ต่อมาพอผิวหนังแห้งลง ชั้นขี้ไคลก็จะหดตัว เลยทำให้กระชับรูขุมขน แลดูมีขนาดเล็กลงไปด้วย
วิธีแก้รูขุมขนกว้าง แบบง่ายๆ 6 ข้อ
1. ล้างหน้าให้สะอาด โดยเลือกสบู่อ่อนธรรมดานี่แหล่ะ อย่าใช้สบู่ที่เพิ่มความชุ่มชื้นหรือผสมมอยเจอร์ไรเซอร์ สบู่ที่เป็นครีม หรือที่เป็นไขมันสูง (superfatted) ส่วนสบู่ล้างหน้าที่ทำเฉพาะเพื่อใบหน้ามันก็ใช้ได้ แต่ต้องล้างออกด้วยน้ำสะอาดให้หมดจด
2. การใช้น้ำยาทาพวก astringent และ freshener น้ำยาเช็ดผิวหน้าพวกนี้ส่วนใหญ่ประกอบด้วย alcohol น้ำ และสารที่ใช้ทำความสะอาดตัวอื่นอื่นๆ ชนิดที่ผลิตเพื่อผิวมันนั้นจะมีปริมาณแอลกอฮอล์สูง จึงทำให้ผิวหน้าแห้งได้มากรูขุมขนก็เล็กลง
3. การใช้สบู่ล้างหน้าฟอกขัดหน้า(scrub) การฟอกขัดหน้าด้วยสบู่จะช่วยขัดเอาชั้นขี้ไคลซึ่งเป็นผิวหนังส่วนบนออกไป จะทำให้ผิวหนังบางลง รูขุมขนกว้างก็จะแลดูเล็กลงด้วย
4. การใช้มาสก์ทำความสะอาด (cleansing mask) ผลิตภัณฑ์พวกนี้โดยเฉพาะที่มีดินเหนียวเป็นส่วนประกอบ จะช่วยดึงน้ำออกจากชั้นขี้ไคลไปพร้อมๆกับการลอกชั้นขี้ไคลส่วนบนออกไป จึงทำให้รูขุมขนเล็กลง
5. อย่าใช้ครีมให้ความชุ่มชื้น หลีกเลี่ยงการใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นโดยเฉพาะบริเวณที่มีรูขุมขนโตอยู่แล้ว เพราะจะยิ่งทำให้รูขุมขนกว้างขึ้นไปอีก
6. การใช้เมคอัพชนิดดูดไขมัน เมคอัพพวกนี้จะช่วยดูดซับไขมันและความชื้นออกจากผิวหนัง ทำให้รูขุมขนดูเล็กลง และการใช้แป้งฝุ่นทาก็ช่วยทำให้รูขุมขนเล็กลงได้ด้วยหลักการเดียวกันนี้เอง
ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่าความจริงแล้วต่อมไขมันก็ยังคงมีขนาดโตอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าผิวหน้าที่แห้งทำให้รูขุมขนดูเล็กลงชั่วคราวนั่นเอง
ข้อควรระวังคือการใช้สบู่ฟอกหรือขัดหน้าหรือใช้เครื่องสำอางดูดซับให้หน้าแห้งบ่อยๆอาจก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหน้าได้ เพราะผิวหน้าที่แห้งเกินไปก็มักเกิดอาการคันและอักเสบได้ง่าย
สำหรับคนที่มีผิวหน้ามัน การล้างหน้าบ่อยๆไม่ใช่วิธีที่จะป้องกันไม่ให้หน้ามันหรือไม่ให้รูขุมขนกว้าง แต่ที่จริงแล้วควรล้างหน้าฟอกสบู่วันละ 1-2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว
ใช้สบู่ลูบไล้ผิวหน้าอย่างทะนุถนอมแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เสร็จแล้วซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนูสะอาด เลือกใช้สบู่เด็กเพราะหาง่ายและไม่แพง
ไม่แนะนำให้ใช้ครีมหรือโลชั่นล้างหน้า เพราะหน้าจะยิ่งมันขึ้น เวลาแต่งหน้าก็อาจต้องใช้ครีมล้างหน้าก่อนแล้วค่อยตามด้วยการล้างหน้าและหรือฟอกสบู่ ระหว่างวันถ้าหน้ามันก็ใช้กระดาษซับมันซับเอา
ยาทาบางตัวเช่น กลุ่มกรดวิตามินเออาจทำให้หน้าแห้งได้จริงอยู่ แต่ยากลุ่มนี้ก็จะทำให้หน้าระคายเคือง เป็นผื่นแดงและคันได้ ส่วนยากินกลุ่มนี้ก็มีผลทำให้หน้าลดมันได้เช่นกัน
แต่อาจมีผลแทรกซ้อนคือทำให้ทารกในครรภ์พิการ เลือดกำเดาไหล ตาแห้งและไขมันในเลือดสูงได้ จึงควรให้แพทย์ผิวหนังเป็นผู้ดูแลจะดีกว่า
ส่วนคนที่มีใบหน้ามันอยู่แล้วไม่แนะนำให้ใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นหรือ มอยเจอไรเซอร์ เพราะใบหน้าจะยิ่งมันและเกิดสิวขึ้นได้ง่าย ความจริงใบหน้าที่มันจะดูแก่ช้ากว่าหน้าแห้งด้วยซ้ำ
เพราะความมันจะช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวแห้งได้ ถ้าต้องการทาเมคอัพให้ใช้เมคอัพที่ผสมในน้ำ (water-based makeup)ในการแต่งหน้าก็ไม่ควรใช้เมคอัพที่เป็นครีมหรือน้ำมัน
ถ้าอยากรู้ว่าอันไหนเป็นเมคอัพที่ละลายในน้ำ ตรวจสอบเองง่ายๆโดยหยดใส่ฝ่ามือสัก 2- 3 หยด ถ้าระเหยหมดก็แสดงว่าเป็นเมคอัพชนิดละลายน้ำซึ่งเหมาะสําหรับคนหน้ามัน
แต่ถ้าระเหยไม่หมดหรือเห็นเป็นคราบน้ำมันที่มือก็แสดงว่าเมคอัพตัวนี้มีน้ำมันมากจึงควรใช้กับผิวแห้ง เมคอัพที่ละลายในน้ำนี้ต้องเขย่าขวดก่อนใช้เพราะเม็ดสีมักจะตกตะกอนอยู่ข้างล่าง นอกจากนี้อาจใช้แป้งฝุ่นหรือแป้งพัฟทาหน้าก็จะช่วยลดความมันได้
ส่วนครีมกันแดดอาจเลือกชนิดที่มีแป้งผสมซึ่งจะช่วยให้หน้าแห้ง และควรเป็นครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป จะช่วยกันไม่ให้เกิดฝ้า กระและไม่เหี่ยวแก่
ฝ้าเป็นกรรมพันธุ์ไหม?
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจสาเหตุของการเกิดฝ้ากันก่อน..
- กรรมพันธุ์ คนที่เป็นโรคฝ้ามากกว่า 30% มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นฝ้าด้วย และบางครั้งก็พบว่าเกิดร่วมกันในฝาแฝดที่มาจากไข่ใบเดียวกัน
- แสงแดด ทั้งช่วงคลื่น uvb และ uva ครีมกันแดดที่ป้องกันเฉพาะ uvb (290- 320 nm)จะใช้ป้องกันฝ้าไม่ได้ผล เพราะผิวหนังยังได้รับ uva และแสงที่มองเห็น (visible light)อยู่ ซึ่งช่วงคลื่นนี้เองที่กระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสี ผลิตเม็ดสีเมลานินขึ้นได้เช่นกัน
- ฮอร์โมน เชื่อว่าการที่ฮอร์โมนเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และ MSH มีระดับสูงในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์มีส่วนกระตุ้นให้เกิดฝ้า แต่ก็พบว่าสาวพรหมจรรย์หรือหญิงที่ไม่เคยตั้งครรภ์ก็เป็นฝ้าได้เช่นกัน หรือแม้แต่ผู้ชายก็เป็นฝ้าได้ เพราะอาจมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย
ยังพบว่าฝ้าเกิดขึ้นได้ในคนที่รับประทานยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ,ผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่รักษาด้วย diethylstilbestrol ,ผู้ป่วยไทรอยด์
มีโอกาสเป็นฝ้ามากกว่าคนปกติถึง 4 เท่า นอกจากนี้ยังพบว่าเครื่องสำอางบางตัวทำให้เกิดฝ้าได้เพราะส่วนผสมเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมหรือสี ฝ้าที่เกิดขึ้นมักจะเป็นฝ้าลึก
สรุปว่าฝ้ารักษาได้แต่ไม่หายขาด โดยเฉพาะผู้ที่เป็นฝ้านั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดได้ตลอดเวลา เพราะทั้งรังสี uvb uva และ visible light จะมีส่วนกระตุ้นให้ฟ้าเข้มขึ้นนั่นเอง
บทความที่น่าสนใจ
- ผิวมันและรูขุมขนกว้าง..ทำไงดีนะ?
- เจลว่านหางจระเข้ S Vera With Q10
- หน้าเป็นฝ้า รักษาได้ด้วยพืชสมุนไพรว่านหางจระเข้