
3 พฤติกรรม เพิ่ม ‘อนุมูลอิสระ’ ทำร่างกายพัง
ยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง นวตกรรมที่ล้ำหน้าไปไกล ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปอย่างมาก ความรีบเร่ง การแข่งขัน ภาวะเศรษฐกิจ และสารพันปัญหาในชีวิต
ทำให้ต้องดิ้นรนขวนขวายมากขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้เกิดพฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลเสี่ยต่อสุขภาพ และคุณภาพชีวิตโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ที่เห็นง่ายๆเลยคือ พฤติกรรมการกิน ที่เอาสะดวก เอาง่ายเข้าว่า
พฤติกรรมการกินบางอย่างนอกจากส่งผลเสีย ทำร่างกายพังแล้ว ยังอันตรายอีกด้วย เรามาดูกัน..
1.วิธีชดเชยน้ำที่ไม่ฉลาด
ร่างกายคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 70% น้ำในร่างกายจะมีสารที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตเช่น สารอาหารต่างๆและข้อมูลชีวิตอยู่ ร่างกายอาศัยน้ำเป็นตัวกลางในกระบวนการหมุนเวียนต่างๆไปทั่วร่างกาย
เช่น ลำเลียงอาหาร ขับถ่ายของเสีย ล้วนต้องมีน้ำเป็นตัวกลางทั้งสิ้น การดื่มน้ำคุณภาพดีจึงช่วยปรับการไหลเวียนของเลือด ทำให้การขับสารพิษ ของเสียเป็นไปอย่างราบรื่น
รวมถึงกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์และแบคทีเรียในลำไส้ด้วย การเลือกดื่มน้ำจึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก
การบริโภคของคนจำนวนไม่น้อยที่ดื่มน้ำชา น้ำผลไม้ หรือน้ำหวานแทนน้ำเปล่า.. “ถ้าอยากมีสุขภาพดีจะต้องเลิกนิสัยทั้งหมดนี้”
เพราะน้ำที่ร่างกายต้องการก็คือน้ำจริงๆ ไม่ใช่น้ำชา น้ำผลไม้พร้อมดื่ม น้ำหวานต่างๆ ซึ่งมีส่วนผสมอื่นๆอยู่อีกหลายชนิด เมื่อน้ำนี้เหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย
ก็จะต้องกำจัดสารอื่นทิ้งก่อนเช่น กรดแทนนิกในน้ำชา,คาเฟอีนในกาแฟ จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการกำจัดทิ้งก่อน ทำให้ร่างกายเราต้องสูญเสียเอ็นไซม์ไป(โดยใช่เหตุ)
นอกจากนั้น การดื่มน้ำหวานและน้ำผลไม้พร้อมดื่มแทนน้ำเปล่าจะทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไปเช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลมจะมีน้ำตาลสูงถึง 50 กรัม
ซึ่งน้ำตาลเหล่านี้จะถูกดูดซึมไปใช้อย่างรวดเร็ว ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ จึงเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วนหรือน้ำตาลในเลือดต่ำ
เครื่องดื่มเหล่านี้แค่ดื่มนานๆครั้งจะไม่เกิดโทษ แต่ห้ามดื่มแทนน้ำเปล่าหรือถึงเวลารู้สึกกระหายเด็ดขาด ส่วนน้ำประปาเองก็มีสารที่เป็นโทษอยู่ในน้ำประปาเช่น คลอรีน ซึ่งจะทำให้สูญเสียเอ็นไซม์และก่อให้เกิด อนุมูลอิสระ ด้วย
ผลตรวจสอบค่า ORP (Oxidation reduction potential)หรือความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ (ถ้าน้ำมีค่า orp ติดลบมากเท่ากับว่ามีปริมาณอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบมาก
จึงมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูง ขณะที่มีความสามารถทำปฏิกิริยากับออกซิเจนต่ำ) ของน้ำในพื้นที่ต่างๆพบว่า น้ำตามเมืองหลวง ในตัวเมืองจะมีความสามารถในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนสูงมาก
กลับกันกับตามธรรมชาติ นอกเมืองจะเป็นน้ำที่มีความสามารถในการทำปฏิกิริยาออกซิเจนต่ำกว่า
น้ำแร่บรรจุขวดที่วางขายตามท้องตลาดที่มีคุณภาพดีก็มีให้เห็น แต่การดื่มน้ำประเทศนี้ต้องระวังเรื่องความสดใหม่ เพราะคุณสมบัติดังกล่าวจะค่อยๆลดลงตามระยะเวลาที่เก็บรักษา
นอกจากนี้การดื่มน้ำแร่ทุกวันทำให้เปลืองค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก แต่ถ้าเลือกใช้เครื่องกรองน้ำจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ น้ำประปาก็สามารถเป็นน้ำคุณภาพดีได้เช่นกัน
เดี๋ยวนี้มีเครื่องกรองน้ำที่นอกจากจะกำจัดคลอรีนและสารพิษแล้ว ยังสามารถแยกโมเลกุลน้ำด้วยไฟฟ้าได้ด้วย ทำให้น้ำที่บริโภคมีคุณภาพดีขึ้นมาก
2. อันตรายที่ซ่อนอยู่ในไมโครเวฟ
หลายคนที่ตระหนักถึงอันตรายจากการบริโภค แต่อันตรายไม่ได้มาจากอาหารเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันมีการใช้ไมโครเวฟเป็นอย่างแพร่หลายในการช่วยอุ่นอาหารให้ร้อนได้ในเวลาไม่กี่นาที
เพิ่มความสะดวกสบายสำหรับคนยุคใหม่ แต่น้อยคนจะรู้ถึงภัยที่ซ่อนอยู่ ไมโครเวฟมีหลักการทำงานง่ายๆ โดยจะสร้างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบคลื่นสั้นส่งไปยังอาหารเพื่อทำให้โมเลกุลของน้ำในอาหารสั่นสะเทือนจนเกิดความร้อน
อาหารจึงร้อนมาจากข้างใน โดยที่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นอันตรายต่อร่างกาย หลายคนคงรู้ดี ภัยจากไมโครเวฟไม่ได้มาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ถูกปลดปล่อยออกมาเท่านั้น
แต่การกินอาหารที่อุ่นหรือปรุงสุกด้วยไมโครเวฟก็อันตรายเช่นกัน การทดลองที่ชี้ให้เห็นถึงอันตรายของมันโดยเปรียบเทียบต้นไม้ที่ถูกรดด้วยน้ำที่ต้มจากไมโครเวฟกับน้ำที่ต้มด้วยเตา
ปรากฏว่าต้นไม้ที่ถูกรดด้วยน้ำต้มจากไมโครเวฟจะเหี่ยวเฉาเร็วกว่ามากหลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่วัน แสดงให้เห็นว่าน้ำต้มจากไมโครเวฟนั้นสูญเสียพลังชีวิตไปแทบไม่เหลือแล้ว
คลื่นที่ใช้ในไมโครเวฟจัดเป็นรังสีชนิดหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคคือ การฉายรังสี คนทั่วไปคิดว่าถ้าใช้อย่างถูกวิธีก็ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่การรักษาด้วยการฉายรังสีที่เชื่อว่าปลอดภัยแล้ว ก็ยังมีผลข้างเคียงอยู่ดี
การที่ไมโครเวฟทำให้เกิดความร้อนได้เพียงเวลาสั้นๆโดยทำให้โมเลกุลของน้ำเกิดการสั่นสะเทือนด้วยความเร็วสูงสุด ซึ่งความเร็วเช่นนี้เกิดขึ้นเองไม่ได้ในธรรมชาติ เพราะเซลล์และยีนไม่อาจรองรับสภาพที่เกิดได้
ดังนั้นอาหารที่ถูกทำให้ร้อนด้วยไมโครเวฟจึงอาจทำลายยีนได้เช่นกัน ปัจจุบันหลายประเทศศึกษาเรื่องอันตรายจากไมโครเวฟแต่ยังไม่ทราบแน่ชัดและยังไม่รับรองความปลอดภัย
แต่สิ่งที่แน่ใจได้ก็คือ อาหารที่ถูกทำให้ร้อนด้วยไมโครเวฟจะแทบไม่มีเอ็นไซม์เหลืออยู่เลย จึงควรหลีกเลี่ยงการ ควรใช้วิธีนึ่งหรือต้มจะดีกว่า
ถึงเสียเวลามากหน่อยแต่อาหารจะนุ่มลิ้นและอร่อยกว่า การต้มถึงจะสูญเสียเอ็นไซม์ไปเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับคลื่นไมโครเวฟแล้ว โครงสร้างเอ็นไซม์ที่เสียหายพบว่าแตกต่างกันมาก
ความต่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่านี้ทำให้เรารู้ถึงอันตรายจากไมโครเวฟได้ยาก
3. คุณใช้น้ำตาลแบบไหนปรุงอาหาร?
อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่าเกลือสังเคราะห์ไม่ดีต่อร่างกาย เพราะสูญเสียแร่ธาตุที่มีตามธรรมชาติไป น้ำตาลทรายขาวก็เช่นกัน.. คนไม่น้อยชอบใช้น้ำตาลทรายขาวปรุงอาหาร เพราะทำให้รสชาติดี สีสวยกว่าการใช้น้ำตาลอื่น แต่ความจริงแล้วน้ำตาลทรายขาวเป็นอาหารที่ทำลายสุขภาพ
น้ำตาลโดยทั่วไปมีหลายชนิด น้ำตาลทรายแดงได้จากการเคี่ยวน้ำอ้อย น้ำตาลทรายขาวได้จากการนำน้ำอ้อยมาเคี่ยว ฟอก และปั่นแยกจนกลายเป็นผลึก
น้ำตาลทรายขาวมีหลายรูปแบบ เช่น น้ำตาลทรายขาวเม็ดเล็ก น้ำตาลก้อน ถ้าคุณชอบดื่มน้ำผลไม้พร้อมดื่มหรือกินขนมหวาน คงเคยถูกเตือนว่า “กินของหวานมากๆระวังกระดูกผุ” ก็เพราะการกินน้ำตาลทรายขาวมากเกินไปจะทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม
น้ำตาลทรายขาวถูกจัดเป็นอาหารที่มี PHเป็นกรด ขณะที่น้ำตาลทรายแดงที่ผลิตจากกรรมวิธีง่ายที่สุดกับมี PH เป็นด่าง เพราะในระหว่างกระบวนการขัดขาวคุณค่าทางอาหารที่มีอยู่เช่นจุลินทรีย์และแร่ธาตุจะถูกทำลายไป
ปกติแล้วร่างกายคนเรามีสภาพ PH เป็นด่าง ถ้ากินอาหารที่ทำให้เลือดเป็นกรดมากเกิน ร่างกายจะต้องดึงแคลเซียมมาเพื่อปรับสมดุลความเป็นด่าง นี่คือสาเหตุที่การกินของหวานมากเกินไปทำให้ฟันผุหรือกระดูกพรุนง่าย
ยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างแคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกายคือ 1:1 ถ้าแคลเซียมถูกดึงไปใช้มากสมดุลนี้ก็จะถูกทำลาย
ในร่างกายมีแคลเซียมเป็นองค์ประกอบประมาณ 2%ของน้ำหนักตัว โดย 99%ของทั้งหมดจะอยู่ในกระดูกและฟัน เหลืออีก 1%อยู่ในเลือดและเซลล์ต่างๆ
ถ้าหากขาดไปเพียงเล็กน้อยแค่ 1%ของส่วนที่อยู่ในเลือดและเซลล์ ก็จะเกิดอาการวิตกกังวลหรือสภาพจิตใจไม่สมดุล ตอนที่รู้สึกวิตกกังวล การกินปลาแห้งตัวเล็กๆที่อุดมไปด้วยแคลเซียมจึงช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้นได้นั่นเอง
ร่างกายจะดูดซึมน้ำตาลได้เร็วโดยเฉพาะน้ำตาลทรายขาว ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวที่ย่อยสลายง่าย ถ้าน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจะทำให้ร่างกายต้องหลั่งอินซูลินออกมามากขึ้น
จากนั้นระดับน้ำตาลในเลือดก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ในเด็กซึ่งระบบที่คอยรักษาสมดุลต่างๆในร่างกายยังทำงานได้ไม่เต็มที่ จะเกิดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย
ถ้าปล่อยให้มีอาการติดต่อกันนานๆร่างกายจะหลั่งสารอะดีนาลินออกมาช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้เพิ่มสูงขึ้น อะดรีนาลินเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งเมื่อถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดจะเกิดอาการตื่นเต้น
ช่วยให้พลังงานจากกระบวนการเมทาบอลิซึมเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้ามีมากเกินไปจะส่งผลต่อการควบคุมของสมอง ทำให้เกิดพฤติกรรมผิดปกติได้
ในอเมริกาจะไม่ให้เด็กๆกินของหวานเช่นลูกอมมากเกินไป เพื่อป้องกันอาการ Sugar High คือรู้สึกดีหลังกินน้ำตาลทำให้อยากกินอีก เด็กที่กินของหวานมากเกินไปจะสมาธิสั้น
ความสามารถในการตัดสินใจลดลง ไม่มีความอดทน หงุดหงิดง่าย จึงไม่แปลกที่เด็กสมัยนี้จะมีพฤติกรรมแปลกๆ สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากการกินน้ำตาลทรายขาวที่มากเกินไปนี่เอง
ที่จริงน้ำตาลทรายขาวแทบไม่มีคุณค่าสารอาหารเลย เครื่องดื่มที่วางขายตามท้องตลาดก็มีน้ำตาลอยู่มากเช่น น้ำอัดลมมีน้ำตาลถึง 30 กรัมต่อ 500 ml ขณะที่ร่างกายต้องการเพียง 20 กรัมต่อวันเท่านั้น
นั่นหมายความว่า ถึงเราจะหลีกเลี่ยงการใช้น้ำตาลทรายแต่การดื่มเครื่องดื่มจำพวกน้ำอัดลม น้ำผลไม้เพียงขวดเดียวก็ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินความต้องการแล้ว
ฉะนั้นนอกจากจะลดการใช้น้ำตาลยังต้องลดการดื่มน้ำหวานด้วย หันมาใช้น้ำตาลธรรมชาติเช่น น้ำตาลทรายแดง หรือน้ำผึ้งแทน
บทความเพิ่มเติม >>