อ้วนลงพุง ต้องรีบลดน้ำหนัก..
เมื่อไรก็ตามที่ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานน้อยกว่าพลังงานที่ได้รับ พลังงานส่วนเกินนี้ก็จะถูกสะสมไว้ในรูปไขมัน เกิดเป็นโรคอ้วนขึ้น
เป็นผลพวงที่มาจากการใช้ชีวิตไม่เหมาะสม กินอาหารที่มีพลังงานสูง กินล้น กินเกิน ใช้ชีวิตนั่งๆนอนๆ ไม่ค่อยออกกำลังกาย
โรคอ้วน มี 2 แบบคือ 1) อ้วนลงพุง โดยมีปริมาณไขมันบริเวณหน้าท้องมาก และ 2) อ้วนทั้งตัว คือมีไขมันกระจายทั่วร่างกายโดยสะสมอยู่ใต้ผิวหนังถึงจะแบบไหนก็ตาม นั่นคือส้ญญาณที่ร่างกายบอกเราว่า “ได้เวลาลดน้ำหนักแล้ว”
ลักษณะของโรคอ้วนทั้งตัว (มีไขมันสะสมใต้ผิวหนัง) คือ บริเวณที่มีไขมันเกาะจะนิ่มเหลว จนสามารถใช้คีมหนีบวัดความหนาตามส่วนต่างๆได้ โรคอ้วนแบบนี้จะพบมากในผู้หญิง
แต่ก่อนการลดน้ำหนักเคยเป็นเรื่องของสาวๆ แต่สมัยนี้กลับมีผู้ชายวัยกลางคนหันมาลดน้ำหนักกันอย่างจริงจังมากขึ้น สาเหตุเนื่องจากการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของโรคเมทาบอลิกซินโดรม (metabolic syndrome) จึงทำให้หลายคนเป็นกังวล..
Metabolic syndrome หรือ โรคอ้วนลงพุง เกิดจากการมีไขมันบริเวณช่องท้องมากเกินไป จนหน้าท้องกลมยื่นออกมา เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง
รวมถึงการมีภาวะผิดปกติอื่นๆอีกด้วยเช่น น้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูงหรือไขมันในเลือดสูง
ไขมันในช่องท้องมาก..อันตรายอย่างไร ?
อ้วนลงพุง หรือ การมีไขมันในช่องท้อง จะกระตุ้นให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน โดยการดื้อต่ออินซูลินเป็นการเปลี่ยนแปลงของ DNA ภายในเซลล์
ทำให้เซลล์ตอบสนองต่ออินซูลินน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ถ้าเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินที่ตับ ตับจะไม่สามารถยับยั้งการสร้างกลูโคสได้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
และถ้าเกิดที่เซลล์ไขมัน เซลล์ไขมันจะไม่สามารถยับยั้งการสลายตัวได้ ทำให้เกิดกรดไขมันอิสระได้ง่าย ส่งผลให้มีไขมันไปสะสมยังกล้ามเนื้อและตับเพิ่มขึ้น
เรียกว่ายิ่งทำให้ภาวะดื้อต่ออินซูลินแย่ลงอีกจนอาจทำให้เบต้าเซลล์ของตับอ่อนตาย นำไปสู่การเป็นโรคเบาหวาน
องค์การอนามัยโลกนิยามไว้ว่า metabolic syndrome คือกลุ่มอาการผิดปกติที่เกิดจากการเผาผลาญสารอาหาร มีเกณฑ์มาตรฐานในการวินิจฉัยดังนี้
- รอบเอวมีขนาดเกิน 90 และ 80 เซนติเมตรในผู้ชายและผู้หญิงเอเชีย
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหารมากกว่า 110 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ความดันโลหิตสูงเกิน 130/85 มิลลิเมตรปรอท
- ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดมากกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และไขมันชนิดHDL ในเลือดน้อยกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
นอกจากเกณฑ์ข้อแรกแล้ว ถ้ามีภาวะตรงกับข้อ 2 ถึง 4 อีก อย่างน้อย 2 ข้อ ก็จัดว่าเป็นโรคอ้วนลงพุง โดยมักจะพบมากในผู้ชายวัยกลางคน
ร่างกายก็เหมือนกับโรงงาน
มีฮอร์โมนเป็นตัวควบคุมการทำงานของเครื่องจักรให้ทำงานปกติ ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพกลไกการทำงานภายในร่างกายคนเรา จะคล้ายๆกับโรงงาน
เราต้องการพลังงานโดยการรับประทานอาหารมีการใช้พลังงาน มีการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานและใช้หมดไป เครื่องจักรจะต้องมีการควบคุมให้ทำงานได้ตามปกติ
ซึ่งฮอร์โมนในร่างกายจะเป็นตัวคอยควบคุมการทำงานของกลไกต่างๆของร่างกายให้ทำงานได้เป็นปกติดังนั้นร่างกายที่ทำงานปกติ ก็จะมีการใช้พลังงาน เผาผลาญอาหารเป็นพลังงานอยู่ตลอดเวลา จะไม่เกิดการสะสมของไขมัน นั่นก็คือ “ไม่อ้วน “
ทำไมร่างกายถึงไม่นำพลังงานไปใช้
คนที่มีภาวะ อ้วนลงพุง ที่เกิดจากร่างกายไม่ยอมเผาผลาญ หรือเรียกอีกอย่างว่า metabolic syndrome ซึ่งจำเป็นต้องตรวจเช็คดูว่า เป็นเพราะอะไร
ซึ่งส่วนใหญ่จะพบว่าเกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมน ซึ่งมีสาเหตุเริ่มต้นมาจากการสะสมของท๊อกซินในเซลล์ไขมัน ( fat cell) พอสะสมนานๆเข้า
อินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน ทำหน้าที่นำน้ำตาลจากเลือดเข้าไปในเซลล์ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงานเริ่มทำงานได้ไม่ดี ไม่สามารถนำเอาน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ตามปกติ
น้ำตาลก็ถูกเก็บเป็นไขมัน ร่างกายก็ต้องใช้อินซูลินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในการนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานจนเกิดภาวะที่อินซูลินดื้อไม่ทำงาน พอถึงตรงจุดนั้นก็ไม่เผาผลาญน้ำตาลแล้ว เก็บเป็นไขมันอย่างเดียว..
ถ้าร่างกายขาดพลังงานมันก็จะดึงเอากล้ามเนื้อไปใช้แทน เพราะมันดึงไขมันออกมาไม่ได้ จึงเป็นที่มาของความเหี่ยว ผิวหย่อนคล้อย จะเห็นได้ว่าขบวนการนำพลังงานไปใช้ในร่างกายมีความสำคัญมาก
มีผลต่อสุขภาพ และความเป็นหนุ่มเป็นสาว.. ถ้าระบบเผาผลาญเราดี ขบวนการใช้พลังงานในร่างกายเราก็จะดี ถ้าร่างกายเราเริ่มเสื่อม เริ่มเฉื่อย ก็จะไม่ใช้พลังงาน แต่เก็บเป็นไขมันอย่างเดียว
ที่เตือนให้ระวังโดยเฉพาะโรคอ้วนลงพุง ก็เพราะคนที่เป็นโรคนี้ส่วนใหญ่จะมีน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูงร่วมด้วย
ที่จริงแค่มีอาการเดียวก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากแล้ว ถ้ายิ่งมีอาการอื่นร่วมด้วยยิ่งอาจนำไปสู่อาการต่างๆที่รุนแรงขึ้นเช่น หลอดเลือดแข็ง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ จึงควรป้องกันไว้แต่เนิ่นๆ
คนที่เป็นโรคอ้วนลงพุงกับคนที่อ้วนทั้งตัว จะมีโหงวเฮ้งลำไส้ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน..หลายคนที่เป็นโรคอ้วนทั้งตัวจะมีลำไส้อ่อนนุ่มสวยงาม นั่นแปลว่าถึงจะอ้วนทั้งตัวแต่ยังมีโอกาสสุขภาพดีอยู่
ต่างกับคนที่เป็นโรคอ้วนลงพุงโหงวเฮ้งลำไส้แย่เหมือนกันทุกคนไม่มีเว้น เพราะไขมันจะไปเกาะรอบอวัยวะภายใน..ลำไส้จะหนาแข็งและมีถุงตันเป็นจำนวนมาก
โดยรวมอาจดูไม่อ้วนมาก ที่มักเรียกว่า “ซ่อนรูป” แต่จริงๆแล้วมีไขมันเกาะอยู่ตามอวัยวะภายในเป็นจำนวนมาก เวลาใช้กล้องส่องตรวจลำไส้จะรู้สึกหนักๆ จะรู้เลยว่าคนๆนั้นเป็นโรคอ้วนลงพุง
ไขมันจากสัตว์ต้นเหตุของภาวะ “ลงพุง”
การมีไขมันเกาะรอบอวัยวะภายในจะส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก แต่บางคนคงสงสัยว่าจุดต่างที่ทำให้เกิดโรคอ้วนต่างกันคืออะไร?
ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังจะถูกกล้ามเนื้อดึงไปใช้งานได้ง่าย ผู้ชายทั่วไปมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่าผู้หญิง จึงมักจะอ้วนแบบลงพุงมากกว่า ส่วนคนที่อ้วนแบบทั้งตัว
มักเป็นคนที่มีมวลกล้ามเนื้อน้อยเพราะออกกำลังกายไม่พอ เป็นอุทาหรณ์ให้รู้ว่า “ใช่ว่ามีมวลกล้ามเนื้อเยอะแล้วจะไม่มีไขมันสะสม.. มีโอกาสเป็นโรคอ้วนลงพุงได้เหมือนกัน..”
สาเหตุที่ทำให้เกิดไขมันไปเกาะตามอวัยวะภายในคืออะไร?
ทั้งไขมันหน้าท้องและไขมันใต้ผิวหนัง ล้วนเกิดจากอาหารที่เรากินเข้าไปทั้งนั้น แต่ถ้าลองเปรียบเทียบประวัติการกินของคนที่อ้วนแบบลงพุง กับคนอ้วนทั้งตัว
จะพบความแตกต่างอย่างน่าสังเกตคือ คนอ้วนลงพุงมักชอบกินเนื้อสัตว์ติดมัน ผลิตภัณฑ์จากนม หรือของทอดซึ่งมีไขมันเยอะ… ส่วนคนอ้วนทั้งตัวบางคนก็ชอบกินอาหารทอดเหมือนกัน แต่ส่วนมากเป็นของทอดที่ใช้น้ำมันพืช
คนที่กินไขมันจากสัตว์หรือผลิตภัณฑ์จากนมบ่อยๆ มักจะมีไขมันเกาะอวัยวะภายในมากกว่าคนที่บริโภคไขมันจากปลา เนื่องจากไขมันจากสัตว์มีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่าคนอย่างเช่น วัว หมู ไก่ จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดไขมันหน้าท้อง
ส่วนการที่ร่างกายสะสมพลังงานส่วนเกินไว้ในรูปไขมันใต้ผิวหนังก็เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับภาวะที่ร่างกายขาดอาหารอย่างกะทันหัน ไขมันส่วนนี้จะถูกดึงมาใช้ในยามจำเป็น เช่นเดียวกับไขมันบนโหนกอูฐ
ไขมันใต้ผิวหนังเป็นการเก็บพลังงาน แล้วไขมันหน้าท้องถูกสะสมไว้เพื่อ?
ไขมันที่เกาะรอบอวัยวะภายในจนทำให้หน้าท้องยื่นออกมานั้น เพื่อเป็นเกราะช่วยปกป้องลำไส้ที่ได้รับความเสียหายจากการบริโภคไขมันจากสัตว์มากเกินไปนั่นเอง
คนที่ชอบกินไขมันหรือโปรตีนจากสัตว์มากๆจะได้รับเอ็นไซม์จากอาหารน้อย จึงต้องใช้เอ็นไซม์ปริมาณมากในการกำจัดสารพิษที่เกิดขึ้นในร่างกายหรือจากการย่อยและดูดซึมเนื้อสัตว์ เอ็นไซม์ที่เก็บรักษาไว้จึงมีปริมาณลดลง
ขณะที่สภาพแวดล้อมในลำไส้แย่ลงก็ทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ก่ออาการอักเสบเพิ่มจำนวนขึ้น เยื่อเมือกในลำไส้ถูกกระตุ้นให้สร้างฮีสตามีนและสารต้านอนุมูลอิสระออกมามาก
จนเกิดอาการแพ้แบบไวต่อสิ่งกระตุ้น ไขมันที่เกาะตามอวัยวะภายในจึงมีไว้เพื่อปกป้องลำไส้ที่มีลักษณะเปลี่ยนไปคือ แข็ง แคบลง หดสั้น และไวต่อสิ่งกระตุ้น ที่มาจากการบริโภคไขมันหรือโปรตีนจากสัตว์มากเกินไป
คนที่บริโภคไขมันสัตว์มากๆ จึงเสี่ยงต่อการมีไขมันเกาะรอบอวัยวะภายในหรืออ้วนลงพุงมากกว่าคนอื่น
เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นสำหรับคนอ้วนลงพุง จึงควรปรับฮอร์โมนร่างกายให้สมดุลด้วยวิธีธรรมชาติ ดีท็อกลำไส้เพื่อกำจัดสารพิษออกไป
เพื่อให้ระบบต่างๆโดยเฉพาะเมตาโบลิซึมของร่างกายกลับมาทำงานได้ตามปกติ มีการเผาผลาญและนำพลังงานไปใช้ได้เหมือนเดิม ควบคู่กับการดูแลอาหาร และออกกำลังกายเพิ่มเติมเพื่อเห็นผลได้เร็วขึ้น
>> ดีท็อกซ์ลำไส้แบบปลอดภัย Phytovy <<
>> 3 พฤติกรรม ทำร่างกายเสื่อม <<
>> โรคเบาหวานปราบให้อยู่หมัด <<