เนื้องอกในลำไส้ใหญ่ อาจนำไปสู่โรคมะเร็งลำไส้
สมัยเป็นแพทย์ฝึกหัดที่อเมริกาของฮิโรมิ ชินยะ ศัลยแพทย์ชื่อดังของญี่ปุ่น พบว่า “คนอเมริกันส่วนใหญ่นั้นกินสเต็กเนื้อวัวเป็นหลัก ท้องผูกง่าย และมีคนจำนวนมากเป็น เนื้องอกในลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจกลายเป็นมะเร็งได้”
จนแพทย์ในโรงพยาบาลแต่ละแห่งต้องรับภาระหนักในการผ่าตัดเปิดหน้าท้องเพื่อตัดเนื้องอกแทบทุกวัน
30 ปีที่แล้วถึงจะเป็นแค่ก้อนเนื้องอกเพียง 1 ซม.ก็ต้องผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องเพราะไม่มีวิธีเลือกอื่น การผ่าตัดเนื้องอกจึงกลายเป็น 1 ใน 3 ส่วนของการผ่าตัดทั้งหมดของโรงพยาบาลทีเดียว
ซึ่งทุกวันนี้นี้เนื้องอกในลำไส้สามารถเลือกผ่าตัดแบบส่องกล้องแทนได้สบาย แม้ว่าเนื้องอกในลำไส้ใหญ่คือติ่งเนื้อที่เกิดขึ้นภายในลำไส้ซึ่งส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นเนื้อดีซะ 80-90% ก็ตาม
แต่การตรวจโดยวิธีสวนแป้งแบเรียมเข้าลำไส้เพื่อเอกซเรย์ ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้ายอยู่ดี? และถึงจะเป็นเนื้อดีก็ไม่ควรละเลยเพราะติ่งเนื้อเหล่านี้อาจกลายเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งได้ในภายหลัง
ต้องรีบตัดทิ้งถ้าพบเนื้องอกเกิน 1 เซนติเมตรขึ้นไป งานในแผนกศัลยกรรมจึงวุ่นมาก แพทย์โดนยืมตัวไปช่วยผ่าตัดอยู่บ่อยๆโดยเฉพาะคนญี่ปุ่นที่มีความละเอียดรอบคอบและมือเบาเป็นพิเศษ
ทำให้ตลอด 5ปี ชินยะเพิ่มพูนประสบการณ์การผ่าตัดอย่างมาก ได้ฝึกผ่าตัดอวัยวะต่างๆมากมายเช่น มดลูก ต่อมลูกหมาก ปอด ไทรอยด์ หรือแม้แต่เต้านม
การรักษา ‘เนื้องอกในลำไส้ใหญ่’ ตอนนั้นมีทางเดียวคือ ตัดก้อนเนื้อทิ้ง และถึงแม้ว่าจะได้รับการผ่าตัดไปแล้ว แต่ก็มีคนไข้จำนวนมากที่เกิดโรคอีกจนต้องกลับเข้ามาผ่าตัดซ้ำ
พฤติกรรมการบริโภคเป็นสาเหตุหลักของการเกิดเนื้องอก
ถ้าย้อนประวัติกลับไปจะพบว่า คนไข้ส่วนมากไม่ได้ปรับพฤติกรรมการกินเลยหลังผ่าตัดไปเลยมักจะเกิดโรคซ้ำได้ ชินยะได้พยายามค้นคว้าหาสาเหตุที่ก้อนเนื้องอกในลำไส้ใหญ่จึงเกิดซ้ำได้ง่าย
ต่อมาก็พบว่าพฤติกรรมการบริโภคและอาหารนี่แหล่ะที่เป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดโรค และพบว่าลำไส้ของคนอเมริกันนั้นมีความหนาและแข็งกว่าคนญี่ปุ่น
สมัยก่อนเชื่อว่าลำไส้ของชาวยุโรปสั้นกว่าญี่ปุ่นนั้นเป็นความแตกต่างมาแต่กำเนิดซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะเมื่อตรวจสอบจากลำไส้ของคนไข้ชาวยุโรปหลังจากปรับนิสัยการกินแล้วพบว่า ลำไส้จะยาวและอ่อนนุ่มได้เหมือนของชาวญี่ปุ่นเลย
สาเหตุหลักที่ลำไส้ชาวยุโรปแข็งและสั้นลงก็เพราะกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์มากเกินไป ความยาวและความแข็งของลำไส้บ่งชี้ถึงสภาพภายในที่เรียกว่า “โหงวเฮ้งลำไส้” ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปได้ตามอาหารการกินนั่นเอง
ก่อนยุค70 จะพบเนื้องอกในลำไส้ใหญ่คนญี่ปุ่นน้อยมาก เพราะญี่ปุ่นกินธัญพืชเป็นหลัก น่าเสียดายลำไส้ที่เคยงดงามไม่พบเนื้องอกกลับมีสภาพแย่ลงจากการกินเนื้อสัตว์ที่มากขึ้น
ทำให้อัตราการเป็นโรคที่เกิดจากรูปแบบการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นเห็นได้ชัด นอกจากนี้ตอนที่ผ่าตัดและวินิจฉัยโรคก็พบว่าคนที่เป็นโรคที่ไม่เกี่ยวกับลำไส้เช่น ปอด ตับ ถุงน้ำดี กระเพาะอาหาร ลำไส้ ไต ก็มีโหงวเฮ้งลำไส้ที่แย่ด้วยเหมือนกัน..
แพทย์แผนปัจจุบันเน้นการรักษาแบบเฉพาะทางคือ เกิดปัญหาที่อวัยวะใดก็จะแก้ปัญหาที่อวัยวะนั้นๆเช่น หัวใจ ปอด กระเพาะ ลำไส้ ไต.. ปวดหัวก็รักษาที่หัว เจ็บขาก็รักษาที่ขา เยื่อบุกระเพาะอาหารอักเสบก็จ่ายยาลดกรดในกระเพาะ
ซึ่งเป็นการในรักษาที่ผิวเผิน ในความจริงแล้วอวัยวะทุกส่วนในร่างกายล้วนเชื่อมโยงถึงกัน ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดปัญหาขึ้นก็จะส่งผลกระทบไปทั่วร่างกาย ตัวอย่างเช่น คนที่มีอาการท้องผูกเพราะกินอาหารที่มีเส้นใยอาหารน้อย ดื่มน้ำน้อย
อาหารที่ไม่ถูกย่อยเหล่านี้ก็จะบูดเน่าเกิดเป็นสารพิษขึ้น ทำให้หน่วยพันธุกรรมในเซลล์บริเวณผนังลำไส้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นเนื้องอกและมะเร็งในที่สุด ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าสารพิษจากอุจจาระที่ตกค้างในร่างกายนี่แหล่ะ! ที่ส่งผลเสียต่อเซลล์ทั่วร่างกาย
“อุจจาระที่ดีควรมีลักษณะใหญ่ ยาว สีอ่อน นุ่ม เสมอกัน ลอยน้ำ”
อาการท้องผูกทำให้ผิวพรรณหยาบหรือเป็นสิวได้ ซึ่งก็เกิดจากสารพิษในเลือดที่ผนังลำไส้ดูดซึมสารพิษเอาไว้นั่นเอง ปัญหาผิวเป็นเพียงผลกระทบที่เรามองเห็นได้ แต่ภายในร่างกายอาจเต็มไปด้วยโรคก็เป็นได้..!
หากสารพิษถูกส่งไปทั่วร่างกายจะทำให้หน่วยพันธุกรรมในเซลล์นั้นๆเสียหายและกลายเป็นมะเร็งตามอวัยวะต่างๆ พูดง่ายๆก็คือ “อาการท้องผูกธรรมดาๆ อาจกลายเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งที่อวัยวะต่างๆของร่างกาย”
การที่โหงวเฮ้งลำไส้แย่ลงสาเหตุก็อาจไม่ได้เกิดจากลำไส้โดยตรง ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลร้ายต่อลำไส้นี้ก็สามารถส่งผลเนื้อร้ายไปทั่วร่างกายได้เช่นกัน
อย่าละเลยความผิดปกติเล็กๆน้อยๆ
ร่างกายคนเราประกอบไปด้วยเซลล์กว่า 60 ล้านๆเซลล์ “เซลล์เหล่านี้ต้องแข็งแรงเราถึงจะมีสุขภาพที่แข็งแรงได้” เซลล์แต่ละเซลล์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการออกซิเจน อาหาร พลังงาน และขับของเสีย
ถ้าต้องการให้เซลล์ทุกเซลล์แข็งแรงก็ต้องได้รับสารอาหารที่จำเป็น ออกซิเจน และทำให้เซลล์ขับของเสียกับคาร์บอนไดออกไซด์ออกได้ดีๆ ซึ่งการทำภารกิจนี้ให้ลุล่วงได้จำเป็นจะต้องให้ของเหลวในร่างกายเช่น เลือดและน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
การดื่มเหล้าสูบบุหรี่เป็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่ดี นอกจากจะทำร้ายปอดและตับแล้ว ยังทำให้เส้นเลือดฝอยทั่วร่างกายหดตัวขัดขวางการไหลเวียนของของเหลวในร่างกาย
ทำให้เซลล์ได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ เซลล์จึงขับของเสียไม่ได้ พูดง่ายๆคือเซลล์ตกอยู่ในสภาพท้องผูก… เหมือนกับที่อุจจาระตกค้างอยู่ภายในลำไส้ที่ส่งผลร้ายไปทั่วร่างกายนั่นเอง “การท้องผูกของเซลล์จึงก่อให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาได้..”
คนที่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่เป็นประจำจะมีผิวหยาบกระด้าง หมองคล้ำ นี่เป็นสัญญาณเตือนจากร่างกาย เนื่องจากเซลล์ผิวหนังขาดออกซิเจน มีของเสียและสารพิษตกค้างอยู่ข้างในมาก
นพ.ชินยะกล่าวว่า “ผมเห็นกระเพาะและลำไส้ของคนไข้มามาก ถ้าพบว่ามีจุดด่างดำบนผิวหนังที่เป็นผลจากการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ เยื่อบุในระบบทางเดินอาหารหรือเส้นเลือดฝอยก็มักจะมีสภาพผิดปกติหรือมีเลือดออก”
โรคที่น่ากลัวอย่างมะเร็งที่สามารถเกิดได้กับทุกส่วนของร่างกาย ก็เริ่มต้นจากความผิดปกติของหน่วยพันธุกรรมในเซลล์เพียงเซลล์เดียวนี่เอง” ฉะนั้นอย่าละเลยสิ่งผิดปกติหรือความเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อย..
ปัจจุบันคนที่เสียชีวิตอย่างกะทันหันโดยหาสาเหตุของโรคไม่เจอมีเพิ่มขึ้นเห็นได้ชัด ความจริงแล้วเป็นไปได้น้อยมากที่คนสุขภาพแข็งแรงจะเสียชีวิตแบบกะทันหัน
“ก็เพราะความผิดปกติของเซลล์หรือโรคที่ไม่แสดงอาการนี้ ค่อยๆรุกล้ำเข้าไปในตัวของคนๆนั้นมานานแล้ว..” ความเจ็บป่วยจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดกระทันหันโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
เซลล์ที่ประกอบกันเป็นร่างกายของเราต่างพยายามเต็มที่เพื่อช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่เซลล์เหล่านี้ไม่มีสิทธิ์เลือก ทำได้แต่เพียงก้มหน้าก้มตารับสารอาหารที่เราเลือกผ่านทางหลอดเลือดที่เป็นสายใยแห่งชีวิต แต่สายใยนี้ก็กลับถูกตัดด้วยการใช้ชีวิตที่ไม่ดีของเราเช่น เส้นเลือดฝอยหดตัวจากการดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่
คนเรามักตอบสนองต่อความผิดปกติบนผิวหนังหรือบาดแผลภายนอกที่มองเห็น ส่วนอวัยวะภายในที่มองไม่เห็นกลับรอให้เกิดอาการเจ็บทรมานเสียก่อนจึงหันมาดูแล..
จึงมีน้อยคนนักที่จะสังเกตได้ถึงความผิดปกติของเซลล์ในตอนที่ยังไม่ป่วย ในสภาวะที่ไม่เจ็บไม่ป่วยคนส่วนมากจะไม่แคร์ต่ออวัยวะร่างกายตัวเอง แม้จะรู้ว่าการกระทำบางอย่างไม่ดีต่อร่างกายก็ตาม ก็ยังคงทำต่อไป ไม่ว่าหลีกเลี่ยงได้หรือไม่ หนุ่มๆก็ทำสิ่งที่ส่งผลเสียต่อร่างกายจนทุกวันนี้ก็ยังมี
ซึ่งบางครั้งก็ไม่มีทางเลือกในสังคมปัจจุบัน จึงยิ่งต้องทำความเข้าใจโทษของเหล้าบุหรี่? การกินเนื้อสัตว์มากเกินไปจะเป็นภาระต่อเซลล์มากแค่ไหน? รูปแบบการใช้ชีวิตจะส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร?
เมื่อเข้าใจดีแล้วก็ต้องดูแลรักษาร่างกายอย่างรู้ค่า มีเพียงเราเท่านั้นที่เห็นคุณค่าของร่างกายเรา จะอยู่อย่างเจ็บป่วยหรือสุขภาพดีเราเป็นคนเลือก “การรู้ถึงคุณค่าของร่างกายจึงเป็นก้าวแรกของการมีสุขภาพดีอย่างแท้จริง..”
บทความน่าสนใจ