FAQ, เบต้ากลูแคนกับโรคร้าย

เบต้ากลูแคน กับ การรักษาโรคร้ายต่างๆ

%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b9%81%e0%b8%84%e0%b8%99-betaglucan

เบต้ากลูแคน เป็นสารอาหารที่เป็นใย ละลายน้ำได้ และมีประจุ (ion)ในตัวมันเอง จึงสามารถที่จะจับกับโมเลกุลน้ำ ไขมัน หรืออนุมูลอิสระที่อยู่ในร่างกายได้

นอกจากนี้เบต้ากลูแคนยังทำหน้าที่ดักจับไขมันและน้ำดีไว้ในโครงสร้าง (น้ำดีผลิตจากคลอเลสเตอรอลในร่างกาย) จึงเป็นการช่วยดึงคลอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย ทำให้ระดับคลอเลสเตอรอลในร่างกายลดลงอีกด้วย

เบต้ากลูแคน กับ มะเร็ง

เบต้ากลูแคน เป็นสารที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน กระตุ้นและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภูมิต้านทานของร่างกาย เมื่อได้สัมผัสกับบริเวณเนื้อเยื่อหุ้มลำไส้

ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกจะเริ่มทำงาน ส่งผลให้เซลล์ภูมิต้านทาน และเซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายหลั่ง สารไซโตไคน์ (Cytokine) ออกมาเพื่อฆ่าและทำลายโครงสร้างเซลล์มะเร็ง อีกทั้งยังช่วยลดและป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายอีกด้วย

อนุมูลอิสระ คือ สารที่รบกวนการเจริญเติบโตและการทำงานของเซลล์ปกติ ดังนั้นผลจากการรับประทานเบต้ากลูแคน คือ เนื้องอกของมะเร็งจะค่อยๆลดขนาดเล็กลง รวมถึงเซลล์มะเร็งที่เกิดใหม่จะลดลงด้วย

เดิมทีการรักษามะเร็งด้วยวิธีต่างๆเช่น การผ่าตัด รังสีรักษา หรือเคมีบำบัด อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงหลายอย่างแก่ผู้ป่วยได้ การทานเบต้ากลูแคนควบคู่ไปกับการรักษาจะช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วขึ้น

ผลงานวิจัยสำคัญแห่งศตวรรษที่ 20 ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าวงการแพทย์ของมวลมนุษย์ในการต่อสู้กับโรคร้ายแรง มะเร็งหรือโรคติดเชื้อชนิดต่างๆ

ในบรรดาอาหารต่อต้านมะเร็งและเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมด เบต้ากลูแคน (Betaglucan) คือที่สุดของอาหารต้านโรค ซึ่งถูกวิจัยและค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2483

ช่วงแรกที่งานวิจัยออกมากนั้น Betaglucan มีราคาแพงมากจนจับไม่ลง เนื่องจากเรื่องสิทธิบัตรผู้ค้นพบและกรรมวิธีการผลิต ซึ่งปัจจุบันนี้เพิ่งมีพัฒนาการผลิตเชิงอุตสาหกรรม(จากยีสต์) จึงทำให้ราคาลดลงได้มาก

แต่ยังคงประสิทธิภาพได้ไม่ด้อยไปกว่าเดิม คนทั่วไปจึงสามารถเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น

นูทริก้ามีเบต้ากลูแคนช่วยรักษาโรคร้ายต่างๆ

คุณสมบัติ ที่โดดเด่นมากของเบต้ากลูแคน คือ เป็นสารอาหารที่เข้าไปกระตุ้นหรือบำรุงเซลล์เม็ดเลือดขาว (macrophage) ให้กระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉงขึ้น

เร่งการทำงาน การจับกินเชื้อมะเร็งหรือจุลินทรีย์แปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายโดยไม่พลาดเป้า จึงไม่เกิดภาวะภูมิเพี้ยน (autoimmune) หรือสำคัญผิดคิดว่าเนื้อดีๆ ที่เป็นเซลล์ปกติของร่างกายเป็นศัตรูแล้วเข้าจู่โจมทำลาย

หลักการที่แพทย์ใช้ในการจัดการกับเซลล์มะเร็ง มีดังนี้

  • การป้องกัน โดยพยายามป้องกันเชื้อหรือมลพิษที่ก่อมะเร็งเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เนื่องจากทุกวันนี้เราแวดล้อมไปด้วยมลพิษต่างๆมากมายในชีวิตประจำวัน
  • ผ่าตัดเนื้อร้ายออกไป  ได้ผลเฉพาะกรณีที่พบในระยะเริ่มๆแรก โดยที่เซลล์มะเร็งยังไม่ได้ฝังตัวและลุกลามออกไป แต่ส่วนใหญ่เมื่อพบก้อนก็มักเลยระยะไปแล้ว
  • ใช้เคมีหรือรังสีรักษา เป็นวิธีการฟาดฟันกันโดยตรง ผลลัพท์คือ ความเสียหาย หรือตายทั้งคู่เป็นส่วนใหญ่
  • ใช้การต่อสู้ปกป้องของร่างกาย โดยปกติเมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เช่น มีบาดแผลติดเชื้อฯ  เม็ดเลือดขาว,ภูมิคุ้มกันจะตรงเข้าโอบล้อม กำจัด และทำลายเชื้อโรค

จึงเกิดอาการไข้ขึ้น แผลอักเสบ บวม แดง ร้อน และมีหนอง และสลายยุบตัวลงจนหาย ในที่สุด ขณะที่เซลล์มะเร็งซึ่งร้ายกว่ามาก เม็ดเลือดขาวธรรมดาสู้ไม่ไหว

เม็ดเลือดขาวยักษ์ที่ชื่อแมคโครฟาจ (Macrophage) จึงเป็นพระเอกตัวจริงที่มีประสิทธิภาพเข้าจัดการได้ และเบต้ากลูแคนนี่เอง ที่เป็นอาหารที่ช่วยบู๊ตกำลัง และประสิทธิภาพของแมคโครฟาจ ให้ทำงานดีขึ้นกว่าปกติหลายเท่า

นอกจากนี้แมคโครฟาจเอง ยังมีบทบาทในการรักษาแผลที่เกิดจากการผ่าตัด หรือจากอุบัติเหตุอีกด้วย เพราะเบต้ากลูแคนจะกระตุ้นให้แมคโครฟาจผลิตคอลลาเจนออกมาทำให้แผลติดเร็วขึ้น บาดแผลแข็งแรง ไม่แตกปริง่าย

เบต้ากลูแคน สารอาหารช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย

กรณีที่หลอดเลือดอุดตันจากคอเลสเตอรอล (plaque) แล้วแคลเซียมเข้าไปเกาะ (calcification) จนเกิดพยาธิสภาพที่เรียกว่า Atherosclerosis  เป็นภาวะหลอดเลือดอุดตัน

จนเกิดอาการหัวใจขาดเลือด หัวใจวายได้ หากเกิดที่หลอดเลือดสมอง เซลล์สมองก็จะขาดเลือด ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก  เบต้ากลูแคนสามารถควบคุมไขมันคอเลสเตอรอลได้เป็นอย่างดี

US–FDA(หรือ อย.อเมริกา) จัดชั้นให้เบต้ากลูแคนเป็น “GRAS” (generally recognized as safe = ปลอดภัยไร้พิษภัย ไม่ว่ากินมากหรือน้อยเพียงใด)

ขณะที่ อย.ฝรั่งเศส บ่งชี้ว่าสามารถควบคุมไขมันคอเลสเตอรอลได้ ในกรณีที่กินอาหารอย่างสมดุล ไม่มีไขมันอิ่มตัวมากเกินไป และมีการออกกำลังกายร่วมด้วย สวีเดน รับรองมาตั้งแต่ปี 2545  และยังบ่งชี้ถึงความสามารถลดน้ำตาลในเบาหวานได้

นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขอเมริกาได้ยืนยันผล เมื่อเริ่มมีอาการติดหวัด เจ็บคอ หากได้รับเบต้ากลูแคนขนาดสูงทันท่วงที มีโอกาสหายได้ และมีความปลอดภัยกว่ายาพาราเซตามอลอีกด้วย

ทั้งมิได้ขัดขวางการใช้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อทั้งหลาย ตรงกันข้ามกลูแคนยิ่งไปเสริมฤทธิ์การต่อต้านเชื้อโรคให้อีกแรงนึงด้วย

ผลจากการเข้าถึงเซลล์เม็ดเลือดขาวแมคโครฟาจให้ทำงานได้อย่างเฉพาะเจาะจง จึงนำมาใช้ประโยชน์ใน SLE (โรคพุ่มพวง) ซึ่งภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง หรือภูมิเพี้ยนทั้งหลายให้ดีขึ้น ในขณะที่การแพทย์ทางยาใช้วิธีกดภูมิคุ้มกันด้วยสเตียรอยด์เสียเป็นส่วนใหญ่

คลิป “เบต้ากลูแคน ดีอย่างไร? ”
โดย นพ.สิทธวีร์  เกียรติชวนันท์

เบต้ากลูแคน กับ  เบาหวาน

Betaglucan จัดเป็นใยอาหารที่ละลายน้ำชนิดหนึ่ง ความหนืดของใยอาหารจะทำให้การดูดซึมของอาหารในเลือดช้าลง ซึ่งจะลดระดับความต้องการของอินซูลินได้

นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูการทำงานของตับอ่อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตอินซูลินได้ดีขึ้นอีกทาง

betaglucan ช่วยป้องกันมะเร็ง

เบต้ากลูแคนกับ โรคหัวใจและหลอดเลือด

 สารเบต้ากลูแคน ช่วยให้ LDL และ Total cholesterol ลดลงได้เป็นอย่างดี โดยผู้ที่ได้รับเบต้ากลูแคนจะมีการผลิตกรดน้ำดี (Bile acid) จากถุงน้ำดีเพิ่มขึ้น

ซึ่งเป็นตัวควบคุมคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอร์ไรด์ในกระแสเลือดให้อยู่ในสภาพปกติตลอดเวลา

เบต้ากลูแคน กับ โรคไต

ปกติแล้วผู้ป่วยโรคไตจะต้องมีข้อปฏิบัติที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัดเพื่อลดความเสี่ยงของอาการจากโรคไต  เบต้ากลูแคนช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมสภาพร่างกายให้อยู่ในสภาพที่พร้อมรับการบำบัดได้

เช่น ผู้ป่วยโรคไตที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งจะทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัวและทำให้เลือดไม่สามารถเดินทางไปเลี้ยงเนื้อเยื่อไตได้ โดย Betaglucan จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้

ผู้ป่วยสามารถเพิ่มระดับการทำงานของภูมิต้านทานร่างกายให้มีการตื่นตัวอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยลดการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะได้ ทำให้ร่างกายสามารถจัดการกับเชื้อโรคที่เข้ามาได้อย่างรวดเร็ว และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อที่อวัยวะอื่นๆ

นิวทริก้าช่วยฟื้นฟูเซลล์ ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

เบต้ากลูแคน กับ เอดส์      

มีรายงานการวิจัยมากมายที่กล่าวถึง เบต้า-กลูแคน ต่อระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ว่าสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ แต่อย่างไรก็ดีก็ยังไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ เอช ไอ วี ได้แต่อย่างใด

เพราะการติดเชื้อไม่ได้มาจากอาหาร แต่มาจากพฤติกรรมการร่วมเพศ และการติดต่อทางสารคัดหลั่งอื่นๆ แต่พบว่าผู้ป่วยโรคเอดส์สามารถลดการเกิดการติดเชื้อที่ฉวยโอกาสได้เมื่อได้รับเบต้ากลูแคน

จึงทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นนั่นเอง การช่วยลดการติดเชื้อฉวยโอกาสจึงเป็นสาเหตุหลักที่ช่วยลดปัญหาสำคัญในการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคเอดส์ เช่น Staphylococcus aureus ทำให้เกิดท้องเสีย อาหารเป็นพิษและปอดบวมได้

Candida albican ทำให้เกิดแผลในช่องปาก Pneumocystis carinii ทำให้เกิดโรคปอดบวม,Listeria monocytogenes ทำให้เกิดโรค listeriosis ปอดบวม และแท้งลูกได้ Influenza virus ทำให้เกิดไข้หวัดใหญ่ และปอดบวมได้ ฯลฯ

เบต้ากลูแคน กับ ภูมิแพ้

เบต้ากลูแคน ทำหน้าที่ปรับระดับภูมิต้านทานโรคที่รวน ผิดปกติไป ยับยั้งปริมาณการสร้างสารแอนติบอดี้  เมื่อเบต้ากลูแคนถูกดูดซึม ส่งผลให้ระบบประสาทสั่งการและเซลล์ภูมิต้านทานเริ่มทำงานกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม

ช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดขาวไม่ต้องทำงานหนักและยังช่วยยับยั้งการปล่อยอนุมูลอิสระออกมาทำร้ายเซลล์ร่างกาย จึงช่วยบรรเทาการตอบสนองที่ผิดปกติและฟื้นฟูภูมิต้านทาน

 เบต้ากลูแคน กับ โรคกรดไหลย้อน

โดยเบต้ากลูแคนจะไปจับกรดเกลือ(HCL) ในกระเพาะอาหาร เพื่อป้องกันไม่ให้กรดไหลย้อนขึ้นมาที่บริเวณหลอดอาหารและมีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อ H. pylori ที่สามารถเจริญและทนสภาวะกรดในกระเพาะอาหาร

อันเป็นสาเหตุของการ ติดเชื้อนำไปสู่โรคกระเพาะอาหารอักเสบ แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ มะเร็งหลอดอาหาร และ มะเร็งกระเพาะอาหาร

สำหรับผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีการรับประทานยากลุ่ม PPIs แนะนำให้เว้นช่วงระยะเวลาการรับประทานเบต้ากลูแคนห่างกับยา PPIs นานประมาณ 1 ชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อ ป้องกันการจับตัวกันระหว่างเบต้ากลูแคนกับยา PPIs เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

เบต้ากลูแคน กับโรคตับ

ตับเปรียบได้กับโรงงานขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งผลิต แหล่งสะสมพลังงาน และโรงงานกำจัดของเสีย อาหารทุกชนิดที่ผ่านการย่อยและดูดซึมมาจากกระเพาะอาหารและลำไส้ ทั้งหมดจะถูกส่งมาที่ตับเพื่อปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการนำไปใช้ของร่างกาย

นอกจากนี้ตับยังเป็นโกดังสะสมสารอาหารต่างๆไว้ใช้ในยามจำเป็นอีกด้วย ทั้งยังรับของเสียจากที่ต่างๆ ของร่างกายที่ผ่านมากับเลือดเข้าสู่เซลล์เพื่อปรับเปลี่ยนให้เป็นโมเลกุลหรือเป็นสารที่เหมาะสมแล้วกำจัดออกทางท่อน้ำดี

ดังนั้นถ้าตับถูกทำลายเสียไป 60-70% ก็จะเริ่มเกิดอาการต่างๆ ได้แก่ ตาเหลือง ตัวเหลือง บวม มีน้ำในช่องท้อง ซึม สับสน อาเจียนเป็นเลือด ถ้ารุนแรงมากอาจเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่วัน โรคของตับ โรคเกี่ยวกับตับมีมากมาย

แต่ที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆ ก็เช่น มะเร็งตับ ก้อนในตับ ถุงน้ำในตับ และอีกหนึ่งโรคที่เป็นเหมือนสนิมคอยกัดกร่อนตับคนไทยมาช้านาน คือ โรคตับอักเสบ และเนื่องจากตับเป็นอวัยวะที่มีเส้นประสาทรับความรู้สึกเฉพาะบริเวณเปลือกหุ้มตับเท่านั้น

ร่างกายจึงไม่รับรู้ถึงอาการอักเสบที่เกิดขึ้นภายในตับ เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะจะเกิดพังผืดในเนื้อตับ และถ้าเป็นซ้ำๆอยู่อย่างนั้นนานวันเข้า ก็จะตามมาด้วยภาวะที่เรียกว่า “ตับแข็ง”

โดยตับจะเริ่มโตขึ้นและค่อยๆหดตัวลงเป็นตะปุ่มตะป่ำขรุขระ หากปล่อยทิ้งไว้จะเข้าสู่ตับแข็งระยะสุดท้าย ตับจะเริ่มสูญเสียการทำงานและแสดงอาการออกมาให้เห็น เช่น หลังเท้าบวม (ถ้าเอานิ้วไปกดบริเวณนั้นแล้วยกนิ้วขึ้นก็จะยังปรากฏเป็นหลุมตามรอยนิ้วที่กดลงไป)

ท้องบวมมีน้ำในช่องท้อง หลายคนมาด้วยอาการอาเจียนเป็นเลือดเนื่องจากเลือดไม่สามารถไหลผ่านตับได้จึงไหลย้อนกลับไปในหลอดอาหาร

ท้องบวมจากภาวะตับแข็ง

เกิดหลอดเลือดโป่งพอง เรียกว่า “หลอดเลือดในหลอดอาหาร” ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้หลอดเลือดจะแตกออก เลือดเข้าไปอยู่ในกระเพาะอาหารเมื่อมีปริมาณมากขึ้นจะอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายออกมาเป็นเลือดสีดำ

ถ้าเป็นรุนแรงมากจะเกิดอาการทางสมองเนื่องจากมีของเสียไปคั่งอยู่ ผู้ป่วยอาจจะเริ่มนอนไม่หลับ สับสน หลงลืม อารมณ์ดีผิดปกติ อารมณ์ร้ายผิดปกติ

ลืมญาติพี่น้องและคนในครอบครัว ซึมลง หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ระยะเวลาประมาณ 10-30ปี ตั้งแต่เริ่มตับอักเสบ

ส่วนการเกิดโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับนั้นต้องขอบอกว่า “เป็นคนละเรื่องเดียวกัน” หมายความว่าผู้ป่วยมักจะมาด้วยโรคตับอักเสบเรื้อรัง จากนั้นจึงเกิดพังผืด และตับแข็งตามลำดับ บริเวณพังผืดจะเป็นจุดกำเนิดของก้อนมะเร็ง

โดยก้อนมะเร็งจะค่อยๆ โตขึ้นจากที่มองไม่เห็นเป็นขนาด 1เซนติเมตร จนถึงประมาณ 8-10 เซนติเมตร ซึ่งจนถึงระยะนี้ร่างกายจะยังไม่แสดงอาการใดๆทั้งสิ้น

จนกระทั่งมะเร็งโตเต็มตับจึงเริ่มมีอาการแสดงออกมาให้เห็น เช่น ปวดท้อง น้ำหนัก เลือดออกในช่องท้อง จึงได้รู้ว่าปวดด้วยโรคมะเร็งตับจะเสียชีวิตภายใน 3 เดือน

ซึ่งเป็นเรื่องจริงเพราะกว่าจะรู้ตัวมะเร็งก็เต็มตับแล้ว แต่ถ้าไปตรวจและพบว่ามีก้อนมะเร็งที่ขนาดยังไม่เกิน 5 เซนติเมตร สามารถรักษาให้หายขาดได้

เราสามารถแบ่งตับอักเสบได้เป็น 2 ระยะคือ

  • ตับอักเสบเฉียบพลัน หมายถึง ตับอักเสบที่เกิดขึ้นและหายภายใน 6 เดือน
  • ตับอักเสบเรื้อรัง หมายถึง ตับอักเสบที่เป็นนานกว่า 6 เดือน

สาเหตุของการเกิดตับอักเสบทั้ง 2 ระยะ ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ในประเทศไทยสาเหตุของการเกิดโรคตับอักเสบเฉียบพลันที่พบบ่อย ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบที่เกิดจากการใช้ยาและสารที่เป็นพิษต่อตับและการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก เช่น ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี

การติดเชื้อจะหายขาดได้ในผู้ป่วยทั่วไปภายในระยะเวลาไม่กี่เดือนผู้ป่วยหลายรายอาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบอีในผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน

เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ,ผู้ป่วยเอดส์ อาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรังจนกระทั่งตับแข็งและเสียชีวิตได้

การใช้ยาเป็นสาเหตุของตับอักเสบเฉียบพลันที่พบรองมา ยาในที่นี้หมายถึงยาที่แพทย์ใช้ในการรักษา ยาต้ม ยาหม้อ สมุนไพร

การดื่มแอลกอฮอล์ ถ้าดื่มในปริมาณมาก สามารถทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเฉียบพลันได้ แต่คนที่ดื่มปริมาณปานกลาง-มาก ดื่มเป็นระยะเวลานานในที่สุดจะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังและตับแข็งต่อไปอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่เป็นสาเหตุของตับอักเสบ เช่น โรคภูมิต้านทานต่อตับ โรคธาตุเหล็กและธาตุทองแดงสะสมในตับ เป็นต้น

แต่ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามถ้าเวลาผ่านไป 6 เดือนแล้วตับยังคงอักเสบอยู่ก็จะกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง สาเหตุของโรคตับอักเสบเรื้อรังที่พบบ่อยในบ้านเรามักมาจาก 4 สาเหตุหลัก คือ ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี การดื่มแอลกอฮอล์และไขมันแทรกตับ

ไขมันแทรกตับ เป็นอีกหนึ่งโรคที่ทำให้เกิดตับอักเสบแบบเรื้อรัง ซึ่งถ้าปล่อยไว้จะดำเนินโรคกลายไปสู่ภาวะตับแข็ง และเกิดเป็นมะเร็งตับในภายหลังได้

ผู้ที่อ้วน น้ำหนักเกิน เป็นเบาหวาน ไขมันจะไปแทรกอยู่ตามส่วนต่างๆ ในร่างกายรวมทั้งในเนื้อตับ คนส่วนใหญ่มักคิดว่าไขมันแทรกตับเกิดจากการที่เรากินไขมันมากจึงลดการบริโภคไขมันเพียงอย่างเดียวซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด

เพราะการลดไขมันเพียงอย่างเดียวโดยไม่ลดคาร์โบไฮเดรตหรืออาหารจำพวกแป้ง และน้ำตาล สุดท้ายก็จะตามมาด้วยโรคอ้วน น้ำหนักเกิน เบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ และไขมันแทรกตับอยู่ดี ในประเทศไทยมีประมาณ 5 ล้านคนที่มีโรคตับซ่อนอยู่ หรือคิดเป็น 10%

เพราะฉะนั้นหน้าที่สำคัญของเราคือ การไปตรวจสุขภาพตับ และอย่ารอให้โรคตับถามหา เพราะปัจจุบันโรคตับสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบซี

นอกจากนั้น  เบต้ากลูแคน(Betaglucan) ยังเป็นอีกทางเลือกนึง ที่จะช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกายให้รักษาตัวเองได้ โดยกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวให้ค้นหาสิ่งแปลกปลอมและทำลายเชื้อโรคที่ทำให้เกิดตับอักเสบ พร้อมฟื้นฟูเซลล์ของตับอีกด้วย

เบต้ากลูแคน เพื่อสุขภาพผิว

เบต้ากลูแคนช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์เปล่งปลั่ง

เนื่องจาก เบต้ากลูแคน มีคุณสมบัติเป็นใยอาหารละลายน้ำ ดังนั้นจึงสามารถเก็บกักและอุ้มน้ำไว้ในโครงสร้างของมัน ช่วยให้เซลล์ผิวชุ่มชื้น มีน้ำหล่อเลี้ยง ปกป้องผิวจากความแห้งกร้าน

ป้องกันการติดเชื้อที่ผิวหนัง การเกิดมะเร็งไฝ ช่วยลดการซึมซาบของรังสียูวีเข้าสู่ผิวหนัง ป้องกันการสร้างเม็ดสีเมลานินซึ่งทำให้ผิวหมองคล้ำและเกิดจุดด่างดำ กระตุ้นการสร้างเส้นใย คอลลาเจน และอิลาสติน และยังทำงานร่วมกับเซลล์ผิวหนังกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่

ผิวหนังก็สามารถดูดซึมเบต้ากลูแคนได้ (จากที่เคยทราบกันว่าผิวหนังไม่สามารถดูดซึมสารภายนอกได้) จึงนำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

เพื่อขจัดริ้วรอยเหี่ยวย่น และร่องลึกบนใบหน้า รักษาแผลผ่าตัด ลดขนาดแผลเป็น ซึ่งตัวยาอื่นทำได้ไม่ดีเท่า จากผลวิจัยพิสูจน์ได้ว่ากลูแคนไปกระตุ้นบำรุงเซลล์แลงเกอฮานส์ (Langerhans cell ซึ่งก็คือแมคโคฟาจที่ผิวหนังนั่นเอง)

จึงช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้านรังสี UV อีกทั้งยังไปจับกับไฟโบรบลาสท์ (เซลล์ที่สร้างคอลลาเจน อิลาสติน และกรดไฮอะลูโรนิคที่เซลล์ผิว) ทำให้ผิวเต่งตึง เปล่งปลั่ง

สารเบต้ากลูแคน เป็นสารในกลุ่ม Polysaccharide ที่ดีที่สุด ซึ่งแพทย์ทั่วโลกให้การยอมรับว่าช่วยทำให้เซลล์ผิวแข็งแรงและมีอายุอ่อนลงได้จริง จึงสามารถเข้าบำรุงลึกถึงระดับโครงสร้างของไฟโบบราสท์

เพิ่มการสังเคราะห์ใยคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้ผิวแข็งแรงยืดหยุ่นได้ดีมาก  ช่วยลดริ้วรอยให้เบาบางลง อ่อนโยนมากขึ้น และชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่

สารเบต้ากลูแคน ยังทำหน้าที่เข้าไปซ่อมแซม DNA/RNAในเซลล์ผิว ต่อต้านอนุมูลอิสระ  และเพิ่มภูมิคุ้มกันในเซลล์เม็ดเลือดขาว เซลล์น้ำเหลืองในผิว

ทำให้ผิวเปล่งปลั่ง ไม่หมองคล้ำ ไม่ซูบซีด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ Langerhan Cell, Macrophage Cell และ Natural Killer Cell  ทำให้ผิวเหี่ยวช้า และยังคงความเรียบเนียนเต่งตึงดุจวัยสาว

ชะลอความเสื่อมของเซลล์โดยตรง เนื่องจากเบต้ากลูแคนเองเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรงมาก แรงกว่าวิตามินอีและซีถึง 100เท่า

ด้วยคุณประโยชน์อันน่ามหัศจรรย์ตามที่กล่าวมาเบื้องต้น ทำให้ เบต้ากลูแคน เป็นสารอาหารที่มีแต่ผลดี (side benefit) โดยไม่มีพิษภัยข้างเคียง (side effect) เหมือนยาทั้งหลาย

และกลายเป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายได้สูงที่สุดเท่าที่เคยปรากฏ

อาหารเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน นูทริก้า Nutriga

>> รายละเอียด : อาหารเสริม Nutriga <<
>> ริวิว : นูทริก้ากับโรคนอนไม่หลับ <<
>> รีวิวการรักษาโรคแพนิคด้วย Nutriga <<

error: do not copy content!!