เอนไซม์ในอาหาร เสริมสุขภาพ
เคล็ดลับ 7 อย่างเพื่อสุขภาพแข็งแรงนั้น สิ่งที่ส่งผลต่อร่างกายอย่างมากคือ อาหาร เพราะอาหารคือพื้นฐานของการมีสุขภาพที่แข็งแรง โดยเอ็นไซม์บำบัดจะเน้นความสำคัญที่การกินอาหารอย่างถูกหลัก
ซึ่งก็คือการกินอาหารที่ดีด้วยวิธีที่เหมาะสมกับร่างกาย อาหารที่ดีมีลักษณะ 2 อย่างคือ ธรรมชาติและสดใหม่ จำไว้ว่าสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้คือพลังชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือเนื้อสัตว์ล้วนก็มีพลังชีวิตทั้งสิ้นทุกชีวิตต้องพึ่งพาอาศัยพลังชีวิตจากสิ่งมีชีวิตอื่นในการดำรงชีวิต อาหารที่ดีต้องอยู่ในสภาพธรรมชาติ
มีเพียงธรรมชาติเท่านั้นที่มอบพลังชีวิตให้เราได้ … และ 1 ในอาหารที่ควรทานเป็นประจำก็คือ ข้าวกล้อง นั่นเอง
อาหารที่ดีจึงต้องสดใหม่
เพราะเมื่อการดำรงชีวิตหยุดลงหรือขาดความสดใหม่พลังชีวิตก็จะเริ่มสูญสลายไปทันที ร่างกายคนเราเป็นศูนย์รวมของเซลล์เล็กๆจำนวนมาก พืชผักและสัตว์ต่างๆที่เป็นอาหารก็ล้วนเป็นศูนย์รวมของสิ่งมีชีวิตเช่นกัน
เมื่อชีวิตหยุดลงเซลล์เล็กๆยังไม่ได้ตายในทันที เช่นในการปลูกถ่ายอวัยวะ แม้อวัยวะจะออกจากร่างกายเดิม แต่เซลล์ต่างๆก็ยังทำงานอยู่ เพียงแต่เมื่อออกจากร่างกายหรือสภาพแวดล้อมเดิมก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
หลายคนคิดว่าอาหารเน่าเสียคืออาหารที่กินไม่ได้ จึงใช้การเน่าเสียของอาหารตัดสินว่าสามารถกินได้หรือเปล่า? อาหารจากธรรมชาติจะเริ่มทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศตั้งแต่วินาทีแรกที่ตายหรือถูกเก็บเกี่ยวมา
ผลของการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนคือ อนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำให้เกิดการเน่าเสีย ดังนั้นอาหารที่เน่าเสียแล้วเป็นอาหารที่ไม่มีพลังชีวิต และอาหารที่ยังไม่เน่าเสียก็ไม่ได้แปลว่ามีพลังชีวิตเสมอไป
อาหารต่างๆจะมีระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์ว่าควรบริโภคก่อนวันที่เท่านั้นเท่านี้ นั่นหมายถึงระยะเวลาที่อาหารยังคงมีรสชาติดีอยู่ ไม่ได้หมายถึงระยะเวลาก่อนที่อาหารจะเน่าเสีย
และยิ่งเก็บไว้นานเท่าไหร่ รสชาติที่ดีก็จะลดลงเรื่อยๆ รสชาตินี่แหล่ะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าอาหารนั้นๆมีพลังชีวิต พูดง่ายๆควรบริโภคก่อนวันที่… ก็คือ“ระยะเวลาก่อนที่พลังชีวิตในอาหารจะหมดสิ้นนั่นเอง”
รสชาติที่ดีของอาหารและพลังชีวิตในอาหารเกิดจากอะไร?
รสชาติที่ดีเกิดจากเอ็นไซม์ ถ้าไม่มีเอนไซม์ก็ไม่มีพลังชีวิต เวลาเรากินอาหารสดๆแล้วถึงรู้สึกว่าอร่อย เป็นเพราะอาหารนั้นมีเอนไซม์ เช่น สเต็กเนื้อชิ้นที่ย่างแค่เกือบสุก ย่อมอร่อยกว่าชิ้นที่ย่างสุกจนทั่วแน่นอน
เพราะเอ็นไซม์เป็นสารที่ไม่ทนต่อความร้อน เนื้อที่เกือบสุกมีเอ็นไซม์มากกว่า เช่นกันผลไม้สดที่อร่อยกว่าผลไม้กระป๋อง ก็เพราะว่ามีเอ็นไซม์มากกว่า อาหารยิ่งสดยิ่งมีเอ็นไซม์มาก
แล้วพอเริ่มทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เอ็นไซม์จะลดลงเรื่อยเรื่อย แต่นักโภชนาการไม่ได้สนใจปริมาณของเอ็นไซม์ในอาหารแต่กลับมุ่งเน้นพลังงานในอาหารเป็นหลัก
เรารู้สึกได้ว่าผักปลอดสารพิษมีรสชาติดีกว่าผักที่ใช้สารเคมี ของสดใหม่อร่อยกว่าอาหารเน่าเสีย ทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้นล่ะ?
ก็เพราะทุกชีวิตล้วนต้องพึ่งพาพลังชีวิตจากชีวิตอื่นในการดำรงชีวิตอีกครั้ง จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า เอนไซม์ในอาหาร ช่วยเสริมพลังชีวิตของเรา
อาหารไร้พลังชีวิตจากโรงงาน
อาหารที่เราพูดถึงโดยทั่วไปมีต้นกำเนิดจาก 3 แหล่งคือ พื้นดิน สัตว์และโรงงาน อาหารที่ได้จากผักผลไม้ สาหร่าย เมล็ดพืชเรียกว่า มังสวิรัติ
อาหารที่ได้จากสัตว์เช่น หมู วัว ไก่ ปลา ปู กุ้ง หอยไข่ และสุดท้ายคือ อาหารที่ผลิตจากโรงงานโดยใช้สารเคมีต่างๆเช่นเพื่อสังเคราะห์ รวมถึงอาหารแปรรูปต่างๆ
อาหารที่มาจากพื้นดินนั้นขอเพียงกินแล้วไม่เป็นอันตราย ปกติแล้วจะกินได้ไม่จำกัด แม้จะกินแต่อาหารกลุ่มนี้ก็ไม่เกิดโทษแต่อย่างใด แต่อาหารที่มาจากสัตว์ถ้ากินมากเกินไปจะทำให้เลือดสกปรก โหงวเฮ้งกระเพาะและลำไส้แย่ลงจึงต้องกินในปริมาณจำกัด
อย่างน้อย 85%ที่เรากินจึงควรเป็นอาหารที่ได้จากพื้นดิน ส่วน15%ที่เหลือจึงค่อยเป็นเนื้อสัตว์ ส่วนอาหารที่มาจากโรงงานเป็นอาหารที่ไม่มีพลังชีวิต ไม่จำเป็นต้องกิน ถึงจะกินได้แต่ก็ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แม้ว่าการปฏิเสธอาหารที่ผลิตจากโรงงานเป็นเรื่องยากก็ตาม
กินธัญพืชให้ถูกต้อง
ทุกวันนี้โรคอ้วนกลายเป็นปัญหาในหลายประเทศ อาหารที่ตกเป็นจำเลยแรกก็คือ ข้าว เพราะเป็นแหล่งพลังงาน จึงถูกมองว่าทำให้อ้วนง่าย คนจึงหลีกเลี่ยงการกินข้าว
คิดว่าข้าวและธัญพืชจะทำให้อ้วนซึ่งเป็นความคิดที่ผิด ปัญหาอยู่ที่วิธีกินมากกว่า การกินธัญพืชอย่างถูกวิธีคือ ต้องเลือกชนิดที่ไม่ผ่านกรรมวิธีขัดขาว เช่น เลือกข้าวกล้องแทนข้าวขาว เลือกแป้งโฮลวีทแทนแป้งขัดขาวเป็นต้น
ทำไมผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผ่านการขัดขาวจึงดีกว่า?
คำตอบคือ เมื่อผ่านการขัดขาวแล้วพลังชีวิตที่มีอยู่ในธัญพืชจะสูญสลายไป เพราะการทำลายเปลือกหุ้มเมล็ดก็คือการทำลายพลังชีวิต ผักและผลไม้อุดมไปด้วยเอ็นไซม์ก็จริง
แต่คุณค่าสารอาหารไม่ค่อยโดดเด่น ทั้งรักษาความสดใหม่ได้ยาก ขณะที่ธัญพืชสามารถเก็บรักษาพลังชีวิตได้นาน เก็บไว้กินได้นานกว่าด้วย ฉะนั้นการบริโภคธัญพืชกับพวกข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ตหรือธัญพืชอื่นๆซึ่งอุดมไปด้วยพลังชีวิตเป็นอาหารหลักจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เลือกธัญพืชไม่ขัดขาว
สารอาหารหลักที่เป็นแหล่งพลังงานในธัญพืช คือ คาร์โบไฮเดรต และแน่นอนว่าต้องมีเอนไซม์ ความแตกต่างระหว่างข้าวกล้องกับข้าวขาวก็คือ ข้าวกล้อง เป็นข้าวที่ถูกลอกเพียงเยื่อหุ้มเมล็ดหรือรำข้าวออก
ส่วนข้าวขาวถูกขัดสีเอาเยื่อหุ้มเมล็ดและจมูกข้าวออก เม็ดข้าวขาว คือเอนโดสเปิร์มซึ่งใช้เก็บสารอาหารไว้เพื่อการเจริญเติบโตและแตกหน่อ บางคนคิดว่าอาหารอาหารที่มีอยู่ในข้าวขาวก็เพียงพอแล้ว
ความจริงไม่เป็นเช่นนั้นเพราะเอนโดสเปิร์มก็เหมือนไขมันในร่างกายเรา ถึงจะให้พลังงานสูงแต่การเปลี่ยนให้เป็นพลังงานจำเป็นต้องใช้เอ็นไซม์และวิตามิน แร่ธาตุเพื่อกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์
ข้าวกล้องแม้จะให้พลังงานต่ำกว่าแต่มีสารอาหารมากกว่าข้าวขาว เพราะ 95%ของวิตามินแร่ธาตุจะถูกเก็บไว้ในจมูกข้าวและเปลือกหุ้มเมล็ดด้านนอก
ข้าวขาวไม่เพียงมีสารอาหารน้อย การกินข้าวขาวจึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและไตรกลีเซอไรด์สูงง่ายด้วย เพราะถูกย่อยและดูดซึมไปใช้ได้เร็วเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ดังนั้นคนเป็นเบาหวานมักถูกจำกัดปริมาณข้าว ขณะที่การกินข้าวกล้องจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างช้าๆ การกินข้าวกล้องจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่า
ธัญพืชที่ผ่านการขัดขาวจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนเร็วกว่าที่ไม่ผ่านการขัดขาว เพราะรำข้าวจะช่วยป้องกันการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้เช่นเดียวกับเจลาตินในผิวหนังชั้นนอกสุดของคนเรานั่นเอง
แป้งก็เช่นเดียวกับการเลือกข้าว ควรใช้แป้งโฮลวีท คือ แป้งที่ผลิตจากธัญพืชไม่ผ่านการขัดสีจนขาว ถูกย่อยช้ากว่าและรสชาติอร่อยกว่าแป้งขัดขาว
แต่เมื่ออยู่ในสภาพผงก็จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้ง่าย จึงควรพยายามใช้แป้งที่ยังใหม่เมื่อเปิดถุงแล้วรีบใช้ให้หมด
กินสดๆดีที่สุด
หลักของการกินอาหารคือพลังชีวิต อาหารใดมีพลังชีวิตอาหารนั้นจะมีเอ็นไซม์ นักโภชนาการในปัจจุบันใช้ปริมาณสารอาหารและพลังงานในอาหารมาคำนวณว่าควรกินอาหารในปริมาณเท่าใดจึงเหมาะสม
อาหารที่ตายแล้วคืออาหารที่ไม่มีเอ็นไซม์เหลืออยู่เลย สาเหตุที่ทำให้ เอ็นไซม์ในอาหาร สูญสลายไปจนหมด มี 2 อย่าง คือ
1) เวลา อาหารยิ่งสดจะยิ่งมีเอนไซม์มาก เอ็นไซม์จะลดลงเรื่อยๆตามอายุการเก็บ แล้วเมื่อเอ็นไซม์ลดลงจนหมด อาหารจะเริ่มเน่าเสีย ซึ่งไม่เพียงไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายกลับยังเป็นโทษด้วย
2) ความร้อน เรามาปรุงอาหารด้วยความร้อนเช่น ย่าง ต้ม นึ่ง ผัด ทอด ซึ่งเป็น เอ็นไซม์จะเสียสภาพที่ 48 องศาเซลเซียส อุณหภูมิยิ่งสูงยิ่งเสียหายมากและจะหมดลงที่ 115 องศา
ในบรรดาสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่นำอาหารมาปรุงด้วยความร้อนก่อนกิน ขณะที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆต่างกินอาหารสดหรือดิบ ความจริงการกินสดๆนี้กลับเป็นการกินที่ให้ประโยชน์สูงสุด
ไม่ว่าจะเป็นผักปลาเนื้อสัตว์ เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้ร่างกายได้รับเอ็นไซม์เต็มที่ ข้อดีอีกอย่างของการกินอาหารดิบคือ ได้รับวิตามินที่ละลายในน้ำซึ่งไม่ทนต่อความร้อน
วิตามินที่ถูกทำลายด้วยความร้อนง่ายที่สุดคือวิตามินซี และแม้ว่าความสามารถทนความร้อนของวิตามินที่ละลายในน้ำอย่าง b และ h จะสูงกว่าวิตามินซีก็ตาม แต่เมื่อโดนความร้อนก็เสียหายเช่นกัน ซึ่งวิตามินเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์
ต่อมาคือ ควรเคี้ยวให้ละเอียด เอ็นไซม์ที่มีอยู่ในอาหารสดจะช่วยให้อาหารย่อยง่ายกว่าในอาหารสุกอยู่แล้ว แต่ทางที่ดีก็ควรเคี้ยวให้ละเอียด การเคี้ยวอาหารจนละเอียดจะช่วยทำลายพยาธิได้
และยังทำให้อาหารคลุกเคล้ากับน้ำลายจนเป็นเนื้อเดียวกันลดภาระในการย่อยของกระเพาะและลำไส้ ช่วยในการดูดซึมสารอาหารและเอนไซม์ในอาหาร
ของขวัญจากธรรมชาติ
อาหารทุกชนิดขอเพียงสดก็ล้วนมีเอ็นไซม์ทั้งสิ้น เพียงแต่ปริมาณมักจะแตกต่างกัน โดยทั่วไปอาหารที่มาจากพืชจะมีเอ็นไซม์มากกว่าเนื้อสัตว์ ที่มีมากสุดคือผลไม้
เอ็นไซม์จะถูกใช้ขณะที่กระเพาะและลำไส้กำลังย่อยและดูดซึมอาหาร อาหารที่อุดมด้วยเอนไซม์โดยเฉพาะผลไม้เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเพราะจะช่วยทดแทนเอนไซม์ที่สูญเสียไปในการย่อยและดูดซึม
เช่น มะละกอ สับปะรด strawberry กีวี่ ซึ่งจะช่วยทั้งทดแทนและเพิ่มเอนไซม์ รวมถึงกล้วยที่สุกเต็มที่ซึ่งคาร์โบไฮเดรตส่วนใหญ่จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคส และกลายเป็นอาหารที่อุดมด้วยเอ็นไซม์สำหรับย่อยอาหาร
เวลาซื้อผลไม้ไปเยี่ยมคนป่วย ควรเลือกผลไม้เหล่านี้เพราะมีคุณสมบัติช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็วขึ้น…
บทความเพิ่มเติม >>