ตับเป็นอวัยวะภายในร่างกายที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โรคเกี่ยวกับตับที่เป็นกันมากที่สุดก็คือ มะเร็งตับ และ ตับแข็ง แต่ยังมีอีกหนึ่งอาการที่ผู้คนมองข้ามไป
นั่นคือ “ไขมันพอกตับ” (hepatic-steatosis) ซึ่งอาการนี้อาจทำให้ตับอักเสบจนกลายเป็นมะเร็งตับได้ และวิธีป้องกันไขมันพอกตับ นั้นทำได้ไม่ยากนะ
ทำไมจึงเป็น ไขมันพอกตับ ?
ประเทศไทยพบผู้มีภาวะไขมันพอกตับถึงร้อยละ 9.6 โดยพบในผู้ป่วยโรคเบาหวานอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปมากที่สุด โรคอ้วน โรคเบาหวาน
และผู้ที่ดื่มสุรามีส่วนทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับได้ง่าย ซึ่งเกิดจากการสะสมไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ที่แทรกระหว่างเซลล์เนื้อตับ (โดยปกติมนุษย์มีไขมันในเลือดอยู่ 2 ชนิด คือ คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์)
กลไกการเกิดภาวะไขมันพอกตับคือ ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเวลาใช้กล้ามเนื้อ เซลล์ตับและเซลล์ไขมันบริเวณผิวหนังจะดึงไขมันและน้ำตาลในเลือดมาใช้เป็นพลังงาน ซึ่งทำให้ปริมาณไขมันและน้ำตาลในเลือดนั้นอยู่ในระดับปกติ
แต่หากร่างกายมีการเผาผลาญที่ไม่ดี เช่น เป็นคนอ้วนบ้าง เป็นโรคเบาหวานบ้าง เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ตับ และเซลล์ไขมันที่ผิวหนัง จะดึงน้ำตาลออกมาใช้ได้ไม่ดี
จึงส่งผลให้ระดับน้ำตาลและไขมันเหลือค้างในเลือดสูง ซึ่งร่างกายจะมีขบวนการนำสารต่างๆ ที่ตกค้างในเลือดมาเก็บสะสมไว้ที่ตับ นานๆเข้าก็จะเกิดเป็นไขมันพอกตับนั่นเองครับ
สาเหตุหลักของการเกิดภาวะไขมันพอกตับเป็นเพราะรับพลังงานเพิ่มและไม่รีบเผาผลาญไขมันและน้ำตาลที่เป็นส่วนเกินออกไป ยิ่งคนสมัยนี้มีชีวิตที่เร่งรีบ
หนุ่มสาวมักกินอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นหลัก ไหนจะเลิกงานดึกด้วย ยิ่งทำให้ออกกำลังกายน้อย ไลฟ์สไตล์เหล่านี้ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไขมันพอกตับได้
- ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ดีทำให้ร่างกายจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดไปเก็บเป็นไขมันแทรกระหว่างเนื้อตับ
- ผู้ที่มีภาวะไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงโดยมีค่าสูงกว่า 160 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร
- การกินยาบางชนิดที่เพิ่มระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด เช่น ยารักษาสิว ยาต้านไวรัสเอชไอวีบางชนิด
- คนที่อ้วนเกินไป เพราะขาดการออกกำลังกาย จะส่งผลให้มีพลังงานส่วนเกินในรูปไขมันและน้ำตาลในเลือดสูง
- คนที่ผอมเกินไป ทำให้ร่างกายตอบสนองโดยการเก็บพลังงานไว้ที่ตับ
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์เป็นประจำ ถือเป็นการเพิ่มภาระให้ตับ และชักนำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับได้ง่ายยิ่งขึ้นอีก
เคล็ดลับป้องกันตับป่วย
- การรักษาระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ(ระดับน้ำตาลในเลือดควรน้อยกว่า120 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร และระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ควรน้อยกว่า160 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร)
- การลดน้ำหนัก เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำและได้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด ควรลดน้ำหนักด้วยการคุมปริมาณและคุณภาพอาหาร พูดง่ายๆคือ หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น นม เนย กะทิ อาหารทะเล ไข่แดง ไม่กินอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไป
นอกจากนี้ควรลดปริมาณอาหารลงด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในมื้อเย็น ไม่ควรลดน้ำหนักด้วยวิธีงดอาหาร และไม่ควรลดน้ำหนักให้ลงเร็วเกินไป ควรลดน้ำหนักให้ลงเดือนละประมาณ 1-2 กิโลกรัมครับ
เพราะการลดน้ำหนักลงอย่างรวดเร็วด้วยการงดอาหารอาจทำให้ตับอักเสบอย่างรุนแรงได้ การลดน้ำหนักควรลดอย่างน้อยร้อยละ 15 จากน้ำหนักเริ่มต้นจนน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 45 นาที
- หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา
- ตรวจเลือดเป็นประจำ อย่างน้อยปีละครั้งเมื่ออายุเกิน 35 ปี
การกินไขมันและน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป จะส่งผลให้ตับของคุณอวบอ้วนไม่ต่างกับตับห่าน “ท่านที่อยากลดความอ้วนด้วยวิธีธรรมชาติคือ ค่อยๆลดไป ทำไปช้าๆ ใจเย็นๆ และอย่างมีความสุข ที่สำคัญลดเครื่องปรุง เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด
แค่มีไลฟ์ไสตล์ที่ดี กิน นอน ออกกำลังกาย และทำจิตใจให้ผ่องใส ปรับสมดุลสุขภาพ หรือเสริมอาหารที่ช่วยลดไขมันที่เป็นปัญหาเหล่านี้ได้แบบง่ายๆ ปัญหาไขมันพอกตับก็จะไม่มาทำร้ายอย่างแน่นอน
>> รายละเอียด : อาหารเสริมออริซามิน Orysamin <<