FAQ, ไม่อยากแก่เร็ว

ไม่อยากแก่เร็ว ต้องดูแลสุขภาพอย่างไร

%e0%b9%84%e0%b8%a1%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b9%81%e0%b8%81%e0%b9%88%e0%b9%80%e0%b8%a3%e0%b9%87%e0%b8%a7-older-than-age

ไม่อยากแก่เร็ว ต้องทำอย่างไร?

แน่นอนว่าทุกคนย่อมอยากมีสุขภาพดีและหน้าอ่อนเยาว์ คงไม่มีใครอยากจะแก่และโรครุมเร้า ซึ่งการมีสุขภาพที่แข็งแรงนั้น สามารถทำได้ด้วยการดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างถูกวิธี

ดังนั้นหากคุณ ‘ไม่อยากแก่เร็ว’ ก็ควรเรียนรู้ถึงความสำคัญของฮอร์โมนที่มีผลต่อความชราของร่างกาย และกินอยู่อย่างไรให้ดูอ่อนกว่าวัยและสุขภาพดี

ฮอร์โมนกับความชรา

ระบบต่อมไร้ท่อจะทำหน้าที่สร้างสารเคมีที่เราเรียกกันว่า ฮอร์โมน (Hormone) ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะทำหน้าที่ควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงการทำงานของอวัยวะเป้าหมาย

รวมถึงระบบการเผาผลาญอาหารของร่างกาย โดยผลของมันอาจจะไปกระตุ้นหรือยับยั้งกระบวนการต่างๆในร่างกายก็ได้

ต่อมไทรอยด์ thyroid hormone

ต่อมไร้ท่อที่สำคัญสำคัญมีดังนี้

  1. ต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) จะผลิตฮอร์โมนที่สำคัญเช่น โกรทฮอร์โมน, ฮอร์โมนรักษาระดับน้ำในร่างกาย
  2. ต่อมไทรอยด์ ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนไทรอยด์
  3. ต่อมพาราไทรอยด์ ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนควบคุมระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกาย
  4. ตับอ่อน ผลิตฮอร์โมนอินซูลินทำหน้าที่รักษาระดับน้ำตาลในเลือด
  5. ต่อมหมวกไต ช่วยสร้างฮอร์โมนคอร์ติซอลเพื่อต่อสู้กับความเครียด
  6. ต่อมเพศ ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน (testosterone)ในเพศชาย และเอสโตรเจนในเพศหญิง
  7. ต่อมเหนือสมอง สร้างฮอร์โมนที่สำคัญคือเมลาโทนิน ซึ่งช่วยในการนอนหลับ

ภาวะพร่องฮอร์โมน

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น การทำงานของต่อมไร้ท่อและอวัยวะต่างๆของมนุษย์จะค่อยๆลดลง ทำให้ประสิทธิภาพรวมถึงความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกายลดลงไปด้วย รวมถึงสภาวะอารมณ์ที่แปรปรวน หงุดหงิดง่าย

  • การทำงานของกล้ามเนื้อและกระดูกเสื่อมลง
  • ไขมันสะสมมากขึ้น อ้วนง่าย
  • ผิวหนังแห้ง และเหี่ยวย่นขาดความยืดหยุ่น

ภาวะพร่องฮอร์โมน ทำให้รู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย

  • อารมณ์หงุดหงิดง่าย อารมณ์ทางเพศลดลง
  • ความดันโลหิตสูงขึ้น เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ระบบประสาทในการรับรู้ เรียนรู้และการเคลื่อนไหวเสื่อมลง
  • การทำงานของอินซูลินลดลง มีภาวะเบาหวานเพิ่มขึ้น
  • การทำงานของปอด หัวใจ ตับ ไตเสื่อมลง
  • ผมร่วงและหงอกมากขึ้น
  • ข้อเสื่อม ปวดข้อ

ฮอร์โมนกับการสร้างและสลายไขมัน

  • ฮอร์โมนที่ช่วยในการสลายไขมันได้แก่ โกรทฮอร์โมน อะดรีนาลินและฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone)
  • ฮอร์โมนที่ช่วยในการสะสมไขมัน คือ ฮอร์โมนอินซูลิน ฮอร์โมนแห่งความเครียดคอร์ติซอล และฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน

่โกรธฮอร์โมน หรือฮอร์โมนแห่งความอ่อนเยาว์

โกรทฮอร์โมน หรือที่เราเรียกกันว่าฮอร์โมนเจริญวัยหรือฮอร์โมนแห่งความอ่อนเยาว์ เป็นฮอร์โมนที่ถูกสร้างขึ้นมาจากต่อมใต้สมอง ฮอร์โมนนี้เป็นโปรตีนที่มีกรดอะมิโนอยู่ทั้งหมด 191 โมเลกุล

ถูกสร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตและการทำงานของเซลล์ โดยจะหลั่งออกมาเป็นช่วงสั้นๆและอยู่ในกระแสเลือดเพียงประมาณชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น

และอยู่ในรูปที่ใช้การไม่ได้จนกว่าจะไปเปลี่ยนแปลงที่ตับเป็นฮอร์โมน IGF-1 (insulin Like Growth Factor-1) ซึ่งเป็นสารที่มีลักษณะคล้ายอินซูลินออกมาตอบสนอง

ฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเจริญเติบโตและการซ่อมแซมเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย นอกจากนี้ IGF-1 ยังส่งเสริมกระบวนการเผาผลาญกลูโคส กระตุ้นภูมิต้านทานให้แข็งแรง และเป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ต่างๆในร่างกาย

การสร้างโกรทฮอร์โมนของร่างกาย

ร่างกายจะสร้างโกรทฮอร์โมนสูงในช่วงเด็กและวัยรุ่น (500 ไมโครกรัมต่อวันเมื่ออายุ 20 ปี) และจะลดลงเรื่อยๆประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ทุกๆ 10 ปี เมื่ออายุมากขึ้น จะเหลือแค่ 200 ไมโครกรัมต่อวัน

โกรทฮอร์โมนจะหลั่งตอนหลับลึก ช่วยให้ไม่แก่เร็ว

เมื่ออายุ 40 ปี และเหลือเพียง 25 ไมโครกรัมต่อวันเมื่ออายุ 80 ฮอร์โมนนี้จะหลั่งออกมามากในช่วงเวลาที่หลับลึกตอนกลางคืนประมาณ 90 นาทีแรกหลังเข้านอน

โดยจะหลั่งสูงสุดประมาณเที่ยงคืน ส่วนเวลากลางวันจะหลั่งน้อยกว่า ขึ้นอยู่กับการออกกำลังกายและการรับประทานอาหาร และถึงแม้ว่าเราอายุเพิ่มมากขึ้น ก็ยังมีความต้องการฮอร์โมนนี้อยู่ด้วย

ปัจจัยช่วยกระตุ้นการสร้างโกรทฮอร์โมน

1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยการออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน เช่น การยกเวท

2. เข้านอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม ซึ่งเป็นช่วงที่มีการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน

3. ลดอาหารพวกแป้งและน้ำตาลโดยเฉพาะมื้อดึก เนื่องจากจะทำให้เกิดการหลั่งอินซูลินมากขึ้น ร่างกายจึงคิดว่ามีระดับ IGF-1 เพียงพอแล้ว

ลดอาหารพวกแป้งและน้ำตาล

เพราะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ร่างกายจึงไม่หลั่งโกรทฮอร์โมนออกมาอีก

4. รับประทานอาหารเสริมที่ช่วยกระตุ้นโกรทฮอร์โมนเช่น กรดอะมิโนไกลซีน ไลซีน  กลูตามีน

5. เสริมใยอาหารอย่างน้อยวันละ 25-30 กรัม โดยกินทั้งใยอาหารที่ละลายน้ำได้และไม่ละลายน้ำ

อาหารต้านแก่

เมื่อพูดถึงความแก่คงเป็นเรื่องที่ใครๆก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ปัจจุบันพบว่าคนเรามีแนวโน้มที่จะมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น โดยคนไทยมีอายุเฉลี่ยประมาณ 73 ปี (ผู้ชาย 70, ผู้หญิง 76 ปี)

เมื่ออายุมากขึ้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงต้องหาวิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เพื่อให้เรามีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ปลอดโรคเมื่ออายุมากขึ้นดีกว่า

โรคเรื้อรังที่มักเป็นในคนชรา ความดันโลหิตสูง,โรคเบาหวาน,โรคหัวใจและหลอดเลือด,โรคมะเร็ง,ข้อเสื่อม,อัมพาต

แนวทางปฏิบัติเพื่อชะลอความแก่

 1. มีอารมณ์และจิตใจที่ดี ความคิดที่ดี คิดบวก ยอมรับความแก่

ไม่อยากแก่เร็ว ต้องอารมณ์ดี คิดบวก คิดดี

 2. มีการออกกำลังกายที่ถูกต้องและสม่ำเสมอ

 3. รักษาระดับฮอร์โมนในร่างกายให้สมดุล

 4. อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดี ปลอดสารพิษ

 5.ได้รับสารอาหารที่ดี เช่น สารต้านอนุมูลอิสระ ไขมันโอเมก้า3

อาหารลดความดันโลหิตสูง(Dash Diet)

1. ลดอาหารรสจัดและมีโซเดียมสูง โซเดียมไม่เกิน 2300 มิลลิกรัมต่อวัน โดยลดหรือเลี่ยงเครื่องปรุงรสต่างๆ เช่นเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา/วัน  น้ำปลาไม่เกิน 3-4 ช้อนชา/วัน หรือซีอิ๊วขาวไม่เกิน 5-6 ช้อนชา/วัน

 ลดอาหารรสจัดและมีโซเดียมสูง

2. ลดการกินพวกไขมันอิ่มตัว ไขมันแปรรูป Trans fat เช่นเนย มาการีน ขนมขบเคี้ยว เค้ก และเบเกอรี่

3. เพิ่มอาหารที่มีกากใยสูงมากขึ้น โดยเน้นผักผลไม้สด ข้าวไม่ขัดสี ธัญพืช ถั่ว และเมล็ดถั่วเปลือกแข็ง

ทั้งนี้การควบคุมความดันโลหิตจะได้ผลดีมากยิ่งขึ้น เมื่อปฏิบัติควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังนี้ ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์ ลดบุหรี่และสุรา หลีกเลี่ยงความตึงเครียด

อาหารลดไขมันพอกตับ

ภาวะไขมันพอกตับ ในคนที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เป็นชื่อเรียกรวมของความผิดปกติที่เกิดกับตับ ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะตับวายและมะเร็งตับได้

มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในระยะแรกมักไม่แสดงอาการใดๆ แต่ในรายที่มีการอักเสบของตับอาจมีอาการ เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เจ็บบริเวณชายโครงด้านขวาในตำแหน่งที่อยู่ของตับ

อาการอักเสบของตับ คือ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย

ตับมีขนาดใหญ่ขึ้น เบื่ออาหาร รู้สึกท้องอืดท้องเฟ้อ คล้ายอาหารไม่ย่อย ท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ

NASH  เป็นหลักการบริโภคอาหารเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะไขมันพอกตับ คือการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงเช่น นม เนย กะทิ ชีส กุ้ง ปู ไข่แดง

อาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ควรลดปริมาณอาหารโดยเฉพาะมื้อเย็น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควรลดน้ำหนักเดือนละ 1-2 กิโลกรัม จนน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

และควรรักษาระดับน้ำตาลและควบคุมไขมันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ จะช่วยสลายไขมันจากตับได้ดี

อาหารชะลอความชรา

อาหารที่ดีควรเป็นอาหารที่สามารถป้องกันโรคของความชราได้ และต้องเป็นอาหารที่ทุกคนสามารถกินได้ไม่ใช่เฉพาะผู้ป่วยในแต่ละโรค ซึ่งได้แก่

  • อาหารพลังงานต่ำ Caloric restrictions
  • อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำกว่า 55
  • อาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป
  • อาหารที่มีไขมันที่ดีเช่น Omega 3 ไม่ควรกินไขมันแปลงรูป

ไม่อยากแก่เร็ว ต้องกินอย่างไร

  •  กินมื้อเช้าเป็นประจำ ควรกินก่อน 10 โมงเช้าและควรกินเป็นมื้อที่เยอะที่สุดของวัน

ไม่อยากแก่เร็ว ต้องไม่อดข้าวเช้า

  •  หลีกเลี่ยงการกินอาหารเย็นมื้อใหญ่ก่อนนอน อย่างน้อย 3 ชั่วโมง
  •  สำหรับคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนักตัว ควรมีการคำนึงถึงปริมาณแคลอรี่ของอาหารที่กินด้วย ไม่ควรเกิน 1200-1900 กิโลแคลอรี่ต่อวัน
  •  สั่งเมนูที่มีผักเยอะๆเช่นน้ำพริกผักสด ซุปผักต้มจืด ถ้าเป็นสลัดควรเลือกสลัดน้ำใสแทนน้ำข้น
  •  หลีกเลี่ยงอาหารขยะที่มีแป้งเยอะเช่น พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ โดนัท ข้าวขาว ขนมปังขาว
  •  ควรเคี้ยวอาหารอย่างช้าๆ 20-40 ครั้งต่อคำ
  •  หลีกเลี่ยงอาหารทอดเช่น ปาท่องโก๋หรือไก่ทอด ,กินอาหารต้ม นึ่ง สด ดิบแทน

ไม่อยากแก่เร็ว ให้หลีกเลี่ยงของทอด ของมัน

  •  ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำอัดลมหรือน้ำหวาน
  •  เลี่ยงไอศครีมหรือของหวานหลังอาหาร โดยเปลี่ยนมาเป็นผลไม้สดหรือโยเกิร์ตจะดีกว่า
  •  กินอาหารเสริมเพื่อชดเชยสารอาหารที่จำเป็นในแต่ละวัน ซึ่งอาจได้รับไม่เพียงพอจากมื้ออาหาร

เพียงเราดูแลสุขภาพให้ดี เลือกทานอย่างฉลาด เพียงเท่านั้น เราก็ไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะแก่เร็ว จะเป็นโรคต่างๆมากมายตอนอายุมากขึ้นหรือไม่…

สุขภาพดี แข็งแรง และอ่อนเยาว์

ปรับวิถึการใช้ชีวิตให้สมดุลทั้งการกิน การออกกำลังกายและการนอน แค่นี้ สุขภาพดีก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว

บทความที่น่าสนใจ

error: do not copy content!!