
ท้องเสีย…ปัญหาที่มาพร้อมอากาศร้อน
เดี๋ยวฝนตกเดี๋ยวแดดออก อากาศร้อนอบอ้าววันดีคืนดีเดี๋ยวก็มี After shock เย็นวูบขึ้นมาซะงั้น สภาพอากาศที่รุนแรงมากกว่าก่อนหลายเท่า เย็นก็เย็นมาก ร้อนก็ร้อนได้ใจ
สิ่งแวดล้อมและอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและบ่อยๆแบบนี้ ทำให้ร่างกายปรับตัวรับมือไม่ทันเกิดเจ็บป่วยกันขึ้นมาได้ง่ายๆ
คนที่มีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายดี ร่างกายแข็งแรงก็อาจโชคดีไม่เจ็บป่วยได้ง่ายๆในอากาศรุนแรงแบบนี้ แต่คนที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำหรือไม่ดีอยู่แล้วล่ะ โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ต่างๆ เป็นหวัด ผื่นคัน หรืออาหารเป็นพิษ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะป่วยเอาได้ง่ายๆ
และที่น่ากลัว เชื้อโรคและจุลินทรีย์ต่างๆ เชื้อไวรัส แบคทีเรียยังสามารถเจริญเติบโตได้ดีในภาวะร้อนชื้นแบบนี้อีกด้วย ยิ่งทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคระบบทางเดินหายใจและโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้ง่ายขึ้นด้วยโดยเฉพาะ “ท้องเสีย”
บ้านเรากำลังประสบปัญหาภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง ทำให้หลายพื้นที่ขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาด และด้วยอากาศที่ร้อนจัดเพิ่มขึ้น ทำให้เชื้อโรคโดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี
เกิดความเสี่ยงของโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ โรคอุจจาระร่วง จากการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ค้างคืน มีแมลงวันตอม ดื่มน้ำไม่สะอาดหรือมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค
โรคอุจจาระร่วง (ท้องเสีย)เกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย ทั้งจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสโปรโตซัว หนอนพยาธิ และเชื้อไวรัสโรตา โรคอุจจาระร่วงจะมีอาการถ่ายอุจจาระเหลวตั้งแต่ 3 ครั้ง/วันหรือมากกว่า ถ่ายมีมูกหรือปนเลือดอย่างน้อย 1 ครั้ง อาเจียนบ่อย กินอาหารไม่ได้ กระหายน้ำ มีไข้สูง
ตำราแพทย์แผนไทยกล่าวไว้ว่า ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเปรียบเหมือนทหารที่คอยปกป้องเราจากศัตรูที่ลุกลามเข้ามาภายในร่างกายเช่น แบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส และการที่คนเราจะติดเชื้อหรือเป็นโรคได้ก็ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันและความต้านทานต่อโรคนี้แหล่ะ
ภูมิคุ้มกันนี้เองบางคนมีมาแต่กำเนิดโดยได้จากแม่ บางคนไม่มีก็ต้องมาสร้างใหม่ด้วยการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรคขึ้นมาทีละโรค หรืออาจจะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมเช่น การเลือกกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย ถูกสุขอนามัย บวกกับการออกกำลังกาย การพักผ่อนและอยู่ในที่ที่อากาศบริสุทธิ์
คนมีภูมิคุ้มกันที่ดี จะมีสุขภาพแข็งแรงถึงฝนจะตกแดดจะออกหรือวันนึงมีทั้ง 3 ฤดูกาลครบ (ร้อน หนาว ฝน)ก็ยังไม่เป็นหวัด แพ้อากาศหรือติดเชื้อป่วยแบบคนอื่น
ขณะที่คนที่ภูมิคุ้มกันไม่ดีหรือภูมิคุ้มกันบกพร่องไป ร่างกายก็จะรับเชื้อโรคได้ง่าย ถ้าเป็นหวัดก็จะเป็นนานกว่าเค้า ร่างกายทรุดโทรม อ่อนเปลี้ย ไม่มีแรง บางคนก็มีอาการแสดงออกทางผิวหนัง เช่นเป็นผื่นขึ้น คันตามตัว ตามแขน ขา
ในความเป็นจริงแล้วเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงฉับพลันเหล่านี้ได้ ทางเดียวก็คือเตรียมความพร้อมให้กับตัวเองเพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนฉับพลันด้วยวิธีการง่ายๆคือ
- ดูแลเรื่องความสะอาด ในฤดูฝนบ้านเรามักมีอากาศร้อนชื้น พอฝนหยุดตกอุณหภูมิก็จะลดลงเป็นอากาศเย็นทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน บ่อยครั้งในอากาศร้อนชื้นหน้าฝนที่คนมักจะเป็นโรคเกี่ยวกับช่องท้องกันมากเช่น มีอาการท้องร่วง อาหารเป็นพิษ
จึงควรเลือกกินอาหารที่สะอาด สด ใหม่ ถ้าหลีกเลี่ยงที่จะซื้ออาหารสำเร็จรูป อาหารตามสั่งหรือจานด่วนไม่ได้ ก็ควรเลือกร้านค้าที่ดูสะอาด ถูกหลักอนามัยสักหน่อย
- โรคหวัดพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน ต้องสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายอยู่เสมอ ถ้าเกิดเปียกฝนก็ต้องรีบทำความสะอาดร่างกายตั้งแต่ศีรษะโดยการสระผม พอสระผมเสร็จแล้วก็เช็ดผมให้แห้ง
เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราที่หนังศีรษะ ชำระร่างกายให้สะอาด เช็ดตัวให้แห้ง แล้วก็เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่นหน่อย ดื่มน้ำอุ่นเพื่อปรับอุณหภูมิร่างกาย อยู่ในที่อุ่นๆไม่เย็นเกินไป..
- เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ที่ให้วิตามินซีเพื่อป้องกันหวัด ภูมิแพ้เช่น ผักใบเขียว โปรตีน และผลไม้ที่ไม่มีรสหวานมากนักและมีความเป็นแป้งในตัวอย่าง มะม่วงสุก
เพราะร่างกายต้องการกากใยช่วยเรื่องการขับถ่าย ระบายง่ายท้องไม่ผูก เพราะการขับถ่ายคือวิธีการขับเชื้อโรคออกจากร่างกายช่องทางหนึ่ง
- การออกกำลังกายถือเป็นสิ่งสำคัญ ในหน้าฝนควรเปลี่ยนที่ออกกำลังกายมาเป็นในร่มแทน เป็นสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทดี ช่วงที่ดีที่สุดในการออกกำลังกาย คือ ช่วงเช้า
เพราะร่างกายเพิ่งผ่านการพักผ่อนมา อากาศก็ดีไม่ร้อน พอออกกำลังกายแล้วจะทำให้สดชื่น ระบบเผาผลาญไม่ทำงานหนักมาก
- การดื่มน้ำ ในหน้าฝนอากาศจะเย็น น้ำเป็นสิ่งจำเป็นมากต่อร่างกาย สมองคนเราต้องการน้ำ 75% และ3ใน 4 ส่วนของร่างกายมีน้ำอยู่ ถ้างดดื่มน้ำหรือดื่มไม่พอเพียงร่างกายจะขาดน้ำ
สังเกตง่ายๆเลยว่าร่างกายขาดน้ำจะมีอาการลิ้นแห้ง ริมฝีปากแห้ง.. การดื่มน้ำที่ถูกต้องไม่ใช่ดื่มน้ำครั้งละมากๆหรือยกหมดแก้ว แต่คือการดื่มเรื่อยๆ แต่บ่อยครั้งเพื่อให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ
- การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยควรนอน 6 – 7 ชั่วโมงต่อวัน เพราะการนอนจะช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ไม่ควรนอนดึกเพราะจะส่งผลให้ภูมิคุ้มกันลดลง เข้านอนเร็วแล้วตื่นแต่เช้าดีที่สุด ช่วงเวลาพักผ่อนดีที่สุดคือ 22.00-6.00 น.
- การดูแลรักษาเท้า โรคที่มากับหน้าฝนคือโรคเชื้อราที่เล็บเท้า โรคน้ำกัดเท้า ฮ่องกงฟุ๊ต คันตามนิ้วมือนิ้วเท้าก็เพราะน้ำที่ขังไม่ระบายออกตามท่อระบายน้ำผสมกับฝุ่นและเศษขยะ ทำให้เกิดเชื้อโรคมากมาย
จึงต้องทำความสะอาดเท้าโดยการล้างเท้า แล้วเช็ดให้แห้งก่อนทุกครั้ง สมุนไพรในครัวเรือนง่ายๆที่เอามาใช้ป้องกันเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อราที่เท้าได้เช่น ใบมะกรูดเอามาฉีกเป็นใบ ตะไคร้บุแล้วหั่นเป็นท่อน ขิงเอามาบุพอแตก นำ 3 อย่างนี้รวมกันต้มกับน้ำประมาณ 1 ลิตรให้เดือดสัก 10 นาที
แล้วเอามาผสมน้ำธรรมดาให้อุ่นๆ แช่เท้าไว้สัก 10 นาที นอกจากช่วยป้องกันการเกิดเชื้อแบคทีเรีย กำจัดกลิ่นรุนแรง ยังช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าได้ด้วย
- สิ่งสำคัญต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด คือ เราต้องสร้างนิสัยที่ดีเรื่องของการกินอาหารประกอบร้อนและสุก รวมทั้งยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ”
กินอาหารเฉพาะที่ปรุงสุกใหม่ด้วยความร้อนและสะอาด อาหารทะเลก็ขอให้ปรุงสุกด้วย หลีกเลี่ยงอาการลวกหรือพล่าสุกๆ ดิบๆ ส่วนพวกเนื้อสัตว์ หมู ไก่ และไข่ ควรปรุงให้สุกก่อนรับประทานทุกครั้ง
ภูมิคุ้มกันเป็นสิ่งจำเป็นมากต่อร่างกาย เราจึงต้องพยายามรักษาระดับภูมิคุ้มกันที่ดีของเราเอาไว้ หรือถ้ามีน้อยก็ต้องพยายามเพิ่มภูมิคุ้มกันให้อยู่ในระดับที่พอ
เพียงเท่านี้เราก็จะห่างไกลจากโรคภัยทั้งหลายที่มาเบียดเบียน ไม่ต้องท้องเสียง่ายๆแล้ว ประหยัดค่าหมอ ค่ารักษาตัวได้อีกบาน แถมไม่ต้องทรมานเจ็บตัวด้วย
>> เพิ่มภูมิคุ้มกันได้ง่ายๆด้วย Nutriga <<
>> จะป้องกันรักษาโรคแพ้อากาศได้อย่างไร <<