FAQ, โรค Nomophobia

ลองเช็คดูว่า…คุณเป็นโรคติดมือถือ Nomophobia หรือไม่??

nomophobia-%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%a1%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%96%e0%b8%b7%e0%b8%ad

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เมื่อตื่นมาแล้วสิ่งแรกที่ทำคือ เช็คมือถือ ถ้าวันไหนเกิดลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน วันนั้นไม่มีสมาธิทำอะไรเลยทีเดียว

ต้องพกมือถือไว้ติดตัวตลอดเวลา หยิบขึ้นมาดูบ่อยๆ เช็คเฟส เช็คไลน์ ดูเว็บไซต์ ตลอดทั้งวัน ฯลฯ

ถ้ามีอาการตามข้างต้น ก็อาจบ่งบอกได้ว่าคุณเป็นโรค ‘ติดโทรศัพท์’ หรือ อาการกลัวขาดมือถือ (Nomophobia)

ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ถ้าอาการ ‘ติดสมาร์ทโฟน’ ของคุณก่อให้เกิดความกระวนกระวายใจหรือวิตกกังวลมากไป ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ในการใช้โทรศัพท์มือถือ

โรคติดโทรศัพท์ Nomophobia ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

โนโมโฟเบีย (Nomophobia) คืออะไร

Nomophobia คือ อาการกลัวขาดมือถือ ซึ่งเป็นเรื่องของพฤติกรรมคน(เป็นกลุ่มอาการ ไม่ใช่โรค…) โดยมาจากสองคำผสมกันคือ โมโน + โฟเบีย 

  • โมโน = โมบายโฟน (โทรศัพท์มือถือ)

  • โฟเบีย = ความกังวลมากเกินเหตุกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ดังนั้นโนโมโฟเบียจึงถือเป็นอาการ ‘ติดสมาร์ทโฟน’ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงจนต้องพบแพทย์เพื่อรับการรักษา แต่ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราได้ในระยะยาว

อาการหรือพฤติกรรมที่เข้าข่ายเป็น Nomophobia

  • พกโทรศัพท์มือถือติดตัวตลอดเวลา
  • หมกมุ่นกับการเช็คมือถือ ไม่ว่าจะเช็คข้อความ ไลน์ เฟสบุ๊ค อินสตาแกรม ฯลฯ จนบางครั้งเกิดอาการหูแว่ว ได้ยินเสียงข้อความเข้า ทั้งๆที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

การใช้สมาร์ทโฟนทำลายสายตา ทำให้ดวงตาเสื่อมก่อนวัย

  • กระวนกระวายใจ จนไม่สามารถทำกิจกรรมอย่างอื่นได้ หากไม่ได้ ‘เช็คมือถือ’
  • สิ่งแรกที่ทำเมื่อตื่นนอนคือการคว้าโทรศัพท์มาเช็คดู และก่อนนอนก็จะเล่นโทรศัพท์จนกระทั่งหลับไป
  • ใช้โทรศัพท์ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นระหว่างทานข้าว เข้าห้องน้ำ ฯลฯ

ข้อเสียของโนโมโฟเบีย

  •  อาการนิ้วล็อก

เพราะเมื่อมีการใช้นิ้วมือ กด จิ้ม เขย่า สไลด์ หน้าจอมือถือติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป ก็จะส่งผลให้เกิดอาการข้อมืออักเสบ เส้นเอ็นยึด

จนเกิดพังพืดที่ทำให้กำนิ้วมือแล้วเหยียดนิ้วไม่ได้ ซึ่งจะต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษา

  • อาการสายตาล้า พร่ามัว ตาแห้ง

เกิดจากการเพ่งสายตาจ้องหน้าจอนานเกินไปและได้รับอันตรายจากแสงสีฟ้า (Blue Light) จากหน้าจอโทรศัพท์ ซึ่งการสัมผัสกับแสงนี้ไปนานๆ

ส่งผลให้วุ้นตาเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม หรืออาจทำให้ตาบอดได้

อย่าขยี้ตาหากอยากถนอมดวงตา

  • อาการปวดคอ เมื่อยไหล่และบ่า

เพราะท่าทางในการเล่นโทรศัพท์ มักจะเป็นการก้มหน้า โน้มคอไปข้างหน้าและค่อมหลัง จึงทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยได้ ซึ่งด้วยท่าทางการใช้โทรศัพท์ที่ไม่ถูกลักษณะเช่นนี้

จะทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถพยุงกระดูกได้ดีนัก จนสุดท้ายก็นำมาซึ่งอาการหมอนรองกระดูกเสื่อมได้

  • โรคอ้วน

เพราะมัวแต่นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือทั้งวัน ทำให้แทบไม่ได้ลุกเดินไปไหนเลย จึงส่งผลให้เกิดภาวะโรคอ้วนได้

วิธีแก้อาการโนโมโฟเบีย

แม้ว่าเทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากแค่ไหน แต่ควรแบ่งเวลาและเรียนรู้ที่จะใช้งานสิ่งเหล่านี้อย่างเหมาะสม ไม่มากเกินไปจนกระทั่งก่อนให้เกิดผลเสียหรือปัญหาต่อสุขภาพของเราในภายหลัง

ดังนั้นเพื่อให้ห่างไกลจากอาการโนโมโฟเบีย เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน จากที่เคย ‘เล่นโทรศัพท์’ ทั้งวัน จ้องแต่หน้าจอสมาร์ทโฟน ก็หันมาทำกิจกรรมอื่นๆ

เช่น การวิ่งออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ ดูหนังที่โรงหนังแทนการดูผ่านโทรศัพท์มือถือ พบปะพูดคุยกับเพื่อนแบบเห็นหน้ากันแทนการแชทไลน์ ฯลฯ

เพียงแค่ลดเวลาในการใช้มือถือในแต่ละวันให้น้อยลง เพิ่มการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างให้มากขึ้น เพียงแค่นี้คุณก็จะเป็นอีกคนหนึ่งที่สามารถใช้ประโยชน์จากโทรศัพท์มือถือได้อย่างคุ้มค่าที่สุดและห่างไกลจาก Nomophobia 

ส่วนหนึ่งจากเว็บไซต์สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

อาหารเสริมบำรุงสายทาร์เกท Targetบทความน่าสนใจ

error: do not copy content!!