หลุมพรางอันน่าเศร้าของคนทำงานประจำ, แนะนำธุรกิจเครือข่าย

หลุมพรางอันน่าเศร้าของคนทำงานประจำ

bad-thing-of-employee

หลุมพรางอันน่าเศร้าของคนทำงานประจำ

       อาชีพลูกจ้าง (Empolyee) หรือคนที่ทำงานประจำ เป็นงานประเภทหนึ่งในรูปแบบแนวคิด “เงินสี่ด้าน” ของพ่อรวยสอนลูก(โรเบิร์ต คิโยซากิ) ซึ่งเป็นรายได้แบบActive คือการเอาแรงและเวลาไปแลกเงิน รายได้แบบนี้ถึงจะได้เงินเพิ่มขึ้น แต่เวลากับสุขภาพของคุณก็ลดลง คุณจะได้แค่เงินอย่างเดียว แต่ไม่มีทางที่เวลากับสุขภาพจะมาพร้อมกันได้เลย

        ถามเล่นๆนะครับว่า “ถ้าพรุ่งนี้เงินเดือนคุณขึ้น 2 เท่าเลย เจ้านายจะใช้คุณแบบไหน ? “ ติ๊ก ต๊อก.. ๆ ๆ

        ฟันธงครับ ! ว่าคุณได้เงินเพิ่ม 2 เท่า แต่เวลาเป็นส่วนตัว พร้อมทั้งสุขภาพของคุณลดลงอย่างแน่นอน

       พนักงานออฟฟิศ หรือชีวิตลูกจ้าง มีความสุขที่สุดก็ตอนวันศุกร์ มักรวมกลุ่มหรือหาข้อเสนอว่าจะไปนั่งดื่มกินกันที่ร้านไหนดี ? จะไปเดินห้างหรือช้อปปิ้งที่ไหนดี ? เสาร์-อาทิตย์จะพักผ่อนนอนอยู่บ้านให้ฉ่ำปอด สิ่งเหล่านี้เป็นการปลดปล่อยความเครียดหลังจากผ่านพ้นการทำงานในระหว่างสัปดาห์มา 5-6 วัน แล้ววันที่ทุกข์ที่สุดก็คือ วันอาทิตย์บ่ายๆ เริ่มกังวลแล้วว่าจะต้องกลับไปทำงาน กลับไปเจอปัญหาในที่ทำงานสารพัด ทั้งเรื่องงาน เรื่องคนเหมือนเดิม

     ชีวิตคนเป็นพนักงนก็เหมือนกับการว่ายน้ำครับ ถ้าอยากว่ายเร็ว แบบนักกีฬาโอลิมปิคก็ต้องหายใจน้อยๆๆ..แล้วว่ายน้ำเยอะๆๆ จ้วงซ้ายก็หันหน้าขึ้นที จ้วงขวาก็หันหน้าขึ้นที จ้วงแต่ละทีเหมือนการนับวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์..เสร็จแล้วก็หันหน้าขึ้นหายใจได้ทีนึงตอนเสาร์-อาทิตย์ พอถึงวันจันทร์ก็ก้มหน้าจ้วงต่อไปใหม่อีก วนแล้ววนอีก..พอนึกออกมั๊ยครับ ? มันเป็นชีวิตที่เหนื่อยมากๆ

     เสร็จแล้ววันใด วันนึงคุณเกิดคิดไม่อยากทำงานนี้แล้ว จะไปเลหลังขายตำแหน่งบน eBay หรือ ตลาดดอทคอมรึก็ไม่ได้ จะส่งต่อให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานก็ไมได้ ทายาทหรือบุตรหลานของคนอาชีพนี้จะต้องไปเริ่มต้นชีวิตการทำงานจากศูนย์ใหม่เหมือนกับพ่อแม่เป๊ะ.. วนอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า..มันเป็นวงจรอุบาทว์

        แย่ไปกว่านั้นก็คือ ลูกจ้างหรือคนที่ทำงานประจำใช้แรงกายแรงใจทุ่มเทในการทำงาน ช่วยเค้าสร้างบริษัทจนใหญ่โต ร่ำรวย ล่ำซำ.. ก็เหมือนทำสวนสร้างสวนทุเรียนจนเติบใหญ่ได้ผลผลิตมากมาย.. แต่พอวันเกษียณ ลูกจ้างจะเอาทุเรียนที่ร่วมปลูกกันมากลับไปกินสักลูกเดียวยังไม่ได้เลย

        ผมเคยทำธุรกิจส่วนตัวมาระยะนึง..บอกตรงๆว่า ค่าใช้จ่ายของธุรกิจที่แพงที่สุดของบริษัท ห้างร้านทั้งหลายคือ เงินเดือนพนักงานครับ หากธุรกิจใดต้องการผลกำไรมากขึ้น ผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการก็ต้องมาลดค่าใช้จ่ายหรือควบคุมมัน ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ ถ้าเงินเดือนของคุณจะเพิ่มขึ้นแค่ 3-5% ต่อปีไม่เกินนี้ และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป..

         ที่น่าคิดก็คือ พอได้เงินมา 5% ต่อปีก็ไม่ทันเงินเฟ้ออีก ข้าวของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้นจนเงินเดือนวิ่งตามไม่ทัน พอเงินเดือนสูงก็ถูกใช้งานมากขึ้น เวลากับสุขภาพก็ลดลง ตั้งท้องก็ต้องทำงาน คลอดก็พักนานไม่ได้ เจ็บป่วยไม่สบายก็ต้องรีบหายรีบฟื้น.. พ่อแม่ป่วยจะขอลากับบ้านสักหน่อยแต่คนอนุญาติไม่ได้เป็นญาติของเรา

         บางคนทุ่มเททำงาน เลิกงานดึกๆดื่นๆ ตื่นเช้ามาเร็วกลับช้า..เอางานมาทำต่อที่บ้านอีก เจ้านายเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง แต่ถึงแม้คุณจะสร้างบริษัทให้สำเร็จใหญ่โต โด่งดัง คุณก็ไม่ได้เป็นเจ้าของด้วยอยู่ดี จุดสิ้นสุดของคนทำงานประจำทุกคน คือเกษียณตอนอายุ 60 ถามตรงๆครับว่า “คุณสมัครใจหรือถูกบังคับให้เกษียณกันแน่ ? “ แปลอย่างสุภาพตามประสานายจ้างก็คือ คุณแก่เกินไปแล้วนะที่จะทำงาน.. ฟังดูเจ็บๆพิลึกมั๊ย ?

         แม้ตอนนี้จะมีโปรเกษียณเร็วตอนอายุ 55 แล้วรับเป็นเงินก้อน ลองคิดดูครับว่า ถ้ารับเป็นเงินก้อนมา แล้วระหว่างนี้มันดันพร่องไปเรื่อยๆตลอดเวลาตามธรรมชาติอยู่แล้ว.. อายุก็มากแล้ว จะลุกขึ้นมาทำอะไรเพิ่มก็คงไม่ไหว ถ้าบังเอิญเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาอีก ไม่มีใครดูแลก็งานเข้า… คิดง่ายๆครับว่า เกิดดันฟลุ๊คอยู่ไปถึง 80 นั่นแปลว่าเราจะต้องกังวลไปอีก 25 ปีว่าจะมีเงินพอใช้รึป่าว ? วัยเกษียณจึงเป็นเรื่องของ “รายได้หยุด แต่รายจ่ายไม่หยุด”ครับ

          ลูกจ้างเอาแรงกับเวลาไปแลกเงินมาเกือบ 40 ปี แต่พอเกษียณก็กลับไม่กล้าเอาเงินมาใช้…จึงเป็นชีวิตที่น่าเป็นห่วง เพราะเกษียณจริงๆไม่ได้นั่นเอง

หากคุณต้องการชีวิตที่ดีขึ้น กด

next botton

error: do not copy content!!